วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ทริปวัด-นครศรีธรรมราช

               ด้วยความตั้งใจที่จะไปห่มผ้าพระธาตุที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ทำให้พวกเราจัดทริปนี้ขึ้น ด้วยความที่ผู้ร่วมทริปของเรามีผู้สูงอายุ ใช้รถเข็น ทำให้เราเลือกที่จะเดินทางไป-กลับ ด้วยเครื่องบิน และไปเช่ารถที่สนาบินนครศรีธรรมราช สำหรับเดินทางภายในจังหวัด และค้างคืนเพียง 1 คืน เนื่องด้วยท่านแม่ไม่ค่อยชอบนอนที่อื่นนอกจากบ้าน

               ออกเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ไฟลท์ 06.40 น. ซึ่งมีไฟลท์เช้ากว่านี้ แต่ไฟลท์นี้ก็ต้องตื่นก่อนตี 3 เพื่อทำการออกจากบ้านตั้งแต่ตี 4 แล้ว ถ้าเอาเช้ากว่านี้ สงสัยจะไม่ต้องได้นอนกันครับ เพื่อความสบายของท่านแม่ เราจึงเลือกซื้อที่นั่ง Hot seat ของทางแอร์เอเชีย เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการวางขา จะได้ไม่ต้องนั่งห้อยขานานๆ และสายการบินแอร์เอเชียให้บริการ โหลดรถเข็นใต้เครื่องฟรีครับ โดยทำการแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตอนเช็คอินได้เลย








                     หลังจากขึ้นเครื่องใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงดี เราก็มาถึงที่สนามบินนครศรีธรรมราชครับ รอบขาไปนักบินคนขับเป็นผู้หญิงด้วยครับ ต้องบอกว่า เพิ่งเคยได้นั่งนักบินเป็นผู้หญิง แต่ไม่ทราบว่ารันเวย์ของสนามบินไม่ดี หรือว่าอะไรอย่างไร แต่ตอนลงนี่ กระแทกค่อนข้างแรงเลยครับ ให้ความรู้สึกยิ่งกว่ากำลังนั่งบนรถทัวร์ไปตามถนนลูกรังบนถนน ถึงแม้เราจะใช้บริการเลือกที่นั่ง Hot seat ด้านหน้า ได้ขึ้นเครื่องบินก่อน แต่พวกเราเลือกที่จะลงทีหลังครับ ด้วยเพราะต้องการที่จะรอให้รถเข็นใต้ท้องเครื่องออกมาพร้อมให้ใช้งานตอนลงจากเครื่องบิน และท่านแม่จะได้สะดวกในการค่อยๆเดินลงมาจากบันได ไม่ต้องมีผู้โดยสารท่านอื่นๆ ยืนกดดันรอครับ

                 





                หลังจากลงมาเหยียบพื้นดิน เดินอีกไม่ไกลเราก็จะพบกับประตูทางเข้าสนามบินนครศรีธรรมราชครับ เดินเข้าไปก็จะพบกับสายพานลำเลียงกระเป๋าเดินทาง และก็ประตูทางออกไปสู่ด้านในของตัวอาคารสนามบินแล้วครับ ด้วยเป็นสนามบินขนาดไม่ใหญ่มาก ทำให้หาเคาน์เตอร์รถเช่าหลากหลายยี่ห้อ และรถแท๊กซี่ ได้ไม่ยากเลยครับ เดินออกมาก็เห็นแล้ว เราได้ทำการจองรถล่วงหน้า เป็นรถมิตซูบิชิ ปาเจโร กับทาง ThaiRent a car สาเหตุที่เลือกรถขนาดใหญ่เพราะเราต้องแบกกระเป๋าสัมภาระค่อนข้างเยอะ และมีรถเข็นผู้สูงอายุด้วย แต่เนื่องจากรถปาเจโรไม่ว่าง ทำให้เราได้เป็น โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์มาแทนครับ ก็ถือว่าเป็นรถในระดับเดียวกัน แค่คนละยี่ห้อ




               หลังจากทำการติดต่อเป็นที่เรียบร้อย กรอกเอกสารและรูดบัตรเครดิตกันวงเงิน 5,000 บาท น้องพนักงานก็ทำการส่งซองเอกสารที่บรรจุใบเช่ารถ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ให้ติดต่อ โทรเข้ามาแจ้งตอนเวลาคืนรถ เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับรถให้กับลูกค้าที่ด้านหน้าทางเข้าตัวอาคารสนามบินได้เลยพร้อมกับให้น้ำดื่มตราสิงห์มาจำนวน 4 ขวด เรียกว่าให้เท่ากับจำนวนผู้โดยสารที่มาครับ จากนั้นนน้องพนักงานจะทำการขับรถมาส่งให้เราที่ด้านหน้าทางเข้า รถจะเติมน้ำมันมาเต็มถังเรียบร้อยครับ หลังจากอธิบายการใช้งานรถเบื้องต้น และแจ้งว่ารถคันนี้เติมน้ำมันดีเซล ก็เรียบร้อยสามารถออกเดินทางกันได้เลยครับ






                 รถเช่าที่ได้รับมา สภาพรอบคันก็มีรอยบ้างตามการใช้งาน ด้านในก็สะอาดดีครับ น้องพนักงานกำชับมาแล้วว่า ห้ามสูบบุหรี่ภายในตัวรถ และห้ามนำทุเรียนขึ้นรถ ไม่อย่างนั้นจะมีค่าปรับ แต่ด้วยท่านแม่ผู้เคยชินกับการใช้รถตู้เป็นประจำ ทำให้ค่อนข้างลำบากเหมือนกัน กับการก้าวขึ้น-ลงรถ ที่มีที่ให้จับเพียงด้านบนอย่างเดียว สำหรับการเดินทาง ถึงแม้จะพยายามหาท่านั่งที่สบาย ด้วยความที่ไม่มีที่วางเท้าทำให้หนีไม่พ้นการต้องนั่งห้อยขา พวกเราจึงพยายามเดินทางแต่ละที่ ให้สั้นที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องห้อยขานานๆ ให้เท้าบวมครับ

                ด้วยความที่เดินทางด้วยเครื่องบิน เราจึงตัดสินใจมาซื้อของสังฆทานกันที่นครศรีธรรมราช แต่ก็ติดถุงผ้าแพรสีทองมาจากกรุงเทพฯ หลังซื้อของเสร็จจึงแวะไปรับผ้าห่มพระธาตุและผ้าแพร 7 สี ที่โรงแรม และทำการจัดสังฆทานกันในห้องพัก




                 ออกจากโรงแรม ใช้เวลาประมาณ 5 นาที เราก็มาถึงตัววัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารในเวลาประมาณ 11 โมงกว่า ด้วยความคิดว่า น่าจะเลยเวลาพระฉันเพลแล้ว ลานจอดรถมีที่ให้จอดค่อนข้างมากนะครับ มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกช่วยหาที่จอดรถ พร้อมช่วยโบกรถจนเป็นที่เรียบร้อย เราได้สอบถามเจ้าหน้าที่ตรงลานจอดรถ ว่าต้องไปแจ้งกับพระรูปไหน ด้วยผ้าห่มพระธาตุที่นำมา เป็นผ้าเกรดจีวร หลังจากถอดออกมาจากที่ห่มฐานพระธาตุ สามารถนำมาตัดเป็นจีวรพระต่อได้




                   เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้เรา โดยการพาไปพบกับพระอาจารย์ด้านในวัด ตรงทางขึ้นไปด้านบนพระธาตุ เพื่อทำการถวายสังฆทาน และทำการกล่าวประกาศนำผ้าห่มพระธาตุ โดยพระอาจารย์กำลังจะฉันเพล แต่ด้วยความเมตตา ท่านจึงให้กล่าวคำถวายสังฆทานและกล่าวประกาศคำอธิษฐานกันก่อน และให้พรจนเสร็จ ท่านบอกกล่าวว่า ถ้าต้องการห่มที่พระธาตุด้านบน ต้องเป็นปีหน้า เนื่องด้วยทางวัดกำลังบูรณะปฏิสังขรณ์อยู่ มิสเตอร์ทีที่ได้โทรมาสอบถามทางวัดก่อนเตรียมผ้ามาจำนวน 111 หลา จึงกล่าวว่า ขอห่มที่ฐานพระธาตุ และบอกถึงความประสงค์ของเนื้อผ้าที่นำมาว่าสามารถนำไปทำเป็นจีวรต่อได้ 

                     พระอาจารย์ตอบด้วยความเมตตาว่า ถึงจะปลดออกมาแล้ว ก็ไม่สามารถนำไปทำเป็นจีวรได้ เนื่องจากผ้าบางส่วนจะยับ และร้านรับตัดผ้าบางที่ ไม่รีดให้ แต่สามารถนำไปทำเป็นอังสะได้ ท่านให้ไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่บริเวณห่มผ้าที่ฐานพระธาตุได้เลย





                        ก่อนออกไปห่มผ้า ก็กราบสักการะ องค์จตุคามด้านหน้าประตูทางขึ้นพระธาตุกันก่อน พร้อมทำบุญปัจจัยหยอดใส่ตู้ทำบุญต่างๆ จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปที่ ด้านฐานของพระธาตุ ตามป้ายสถานที่ปิดทองกันเลยครับ เมื่อเรามาถึง เป็นเวลาเที่ยงนิดหน่อย ซึ่งเจ้าหน้าที่ น่าจะไปพักทานข้าว พวกเราจึงทำการกราบพระ เดินสำรวจเส้นทางห่มผ้าและปิดทองรอเจ้าหน้าที่









                            ตรงนี้จะสังเกตุได้ว่า การห่มผ้าที่ฐานพระธาตุ ไม่ต้องใช้เข็มกลัดนะครับ สามารถวางพาดทับด้านบน แล้วเดินวนต่อไปได้โดยรอบฐานพระธาตุ








                 เมื่อเจ้าหน้าที่ทางวัดมาถึง มิสเตอร์ทีก็ทำการแจ้งความประสงค์ในการห่มผ้าฐานองค์พระธาตุด้วยผ้าที่พวกเรานำมาเอง เจ้าหน้าที่ให้ทำการวางอธิษฐานต่อองค์พระธาตุ แล้วจึงแจ้งให้ขึ้นบันไดไปเตรียมห่มผ้า โดยเจ้าหน้าที่จะช่วยถือม้วนผ้านำหน้ากลิ้งบนราวไปให้ และให้พวกเราตั้งจิตอธิษฐาน หรือจะสวดภาวนา พุทโธ-อิติปิโส ระหว่างเดินห่มผ้ารอบพระธาตุ ตามแต่ใจชอบ ด้วยท่านแม่ไม่สะดวกในการเดินวนรอบ พวกเราจึง นำรถเข็นขึ้นไปให้ท่านแม่นั่งร่วมจับปลายผ้าอธิษฐานที่จุดเริ่มต้น และนั่งรออยู่ตรงจุดนี้ จนกว่าพวกเราจะทำการห่มผ้าพระธาตุเสร็จเป็นที่เรียบร้อย









                   ระหว่างทางที่เดินห่มผ้าพระธาตุ ก็มีสาธุชนเข้ามาร่วมจับห่มผ้าพระธาตุไปกับพวกเราครับ ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วย ตรงนี้เป็นความยินดี ที่ทุกๆท่านเข้ามาร่วมบุญกันนะครับ หลังจากจับผ้าห่มให้ตรง และตึงสวยงามแล้ว เจ้าหน้าที่ก็บอกให้เรากราบที่ผ้า 3 ครั้ง และตั้งจิตอธิษฐานผลบุญนี้ พร้อมกับแผ่ส่วนกุศลให้เจ้าเทวดา เจ้ากรรมนายเวร ญาติสนิทมิตรสหาย และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นอันเสร็จพิธีครับ

                       จากนั้นเราจะไปที่วิหารพระแอด ซึ่งมีความเชื่อว่า ท่านใดที่มีอาการบาดเจ็บ ปวดเมื่อยต่างๆ มาตั้งจิตอธิษฐานขอพรกับพระแอด แล้วไปนำไม้มาแตะตามร่างกายที่ปวด จากนั้นนำไปวางที่ด้านหลังของพระแอด จะสามารถบรรเทาอาการปวดจนถึงหายจากอาการปวดดังกล่าวได้ครับ

                     








                 ก่อนออกจากวัด ก็แวะถ่ายรูปสักนิด ถึงจะกำลังบูรณะด้านบนพระธาตุอยู่ แต่ก็เห็นถึงความสวยงาม และยิ่งเป็นช่วงเวลาแดดกำลังดี ฟ้าสีครามสดใส ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมาจะสวยยิ่งขึ้นครับ








               ขณะกำลังจะออกจากวัด ก็ได้ยินเสียงประกาศจากทางวัด ว่ากำลังจะมีพิธีแห่เทียนพรรษาพระราชทานในเวลาประมาณบ่าย 2 โมง และด้านหน้าเริ่มมีการปิดถนนแล้ว เรียกว่าโชคดีของพวกเราครับ ที่สักการะเสร็จก่อนเวลาพิธีเริ่ม สถานที่ต่อไป ก็เป็นศาลหลักเมืองครับ ขาออกจากวัด ก็มีหลายเส้นทางที่เริ่มปิด และมีการตั้งขบวนดุริยางค์และขบวนแห่เทียนกันบ้างแล้ว ทำให้เราต้องขับอ้อมเส้นทาง แต่ก็ใช้เวลาไม่นานครับ ประมาณ 7-8 นาที จากวัดพระธาตุ เราก็มาถึง ศาลหลักเมือง






               สำหรับที่จอดรถหาได้ตามข้างทาง ตรงข้ามกับศาลหลักเมืองนะครับ จอดรถแล้วก็เดินข้ามฝั่งมาที่ศาลหลักเมือง ด้านในทางขวามือ จะมีที่ให้บูชาดอกไม้ ธูป เทียนครับ เราไปถึงในเวลาประมาณบ่ายโมง ดอกไม้หมดแล้วครับ แต่ก็ยังมีธูปเทียนให้บูชา จุดธูปเทียนด้านนอก จากนั้นจึงเข้าไปกราบด้านใน





              เมื่อก่อนที่เคยมา ด้านในจะมีโต๊ะไว้บริการ ให้เราบูชาผ้าแพร และมีเก้าอี้ให้ยืมนั่งได้ แต่ไปครั้งนี้ไม่มีให้บริการแล้วนะครับ แต่พวกเราก็เตรียมผ้าแพร 7 สี มาเองจากทางกรุงเทพฯอยู่แล้ว เมื่อไม่มีเก้าอี้ให้ท่านแม่นั่ง ก็เริ่มจากการยืนพิงเสา จากนั้นก็ลงนั่งกับพื้นครับ เพราะกว่าจะอธิษฐานกันเสร็จ และผูกผ้าแพรอีก น่าจะใช้เวลานานพอสมควร








                  ก่อนจะทำการสิ่งใด มิสเตอร์ทีเดินไปสอบถามเจ้าหน้าที่ด้านนอกก่อนครับ ว่าสามารถผูกผ้าแพรที่เสาในศาลหลักเมืองได้เลยหรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบว่า สามารถทำได้เลย ก็เริ่มการผูกผ้ากันครับ เริ่มจากจับชุดผ้า ให้เรียงครบ 7 สี 

                      














               หลังผูกผ้าแพรเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เราก็เริ่มปิดทองกันครับ ขณะกำลังปิดทองที่ปากของพระพุทธรูปคู่ด้านหน้าของเสาหลักเมือง เจ้าหน้าที่ก็เดินเข้ามาพอดี พร้อมกับแจ้งพวกเราว่า อย่าปิดทองที่ปาก จมูก ตา หู ของท่าน เพราะเคยมีคนฝันว่า ท่านมาเข้าฝันบอกว่า ปิดตา ปิดหู ท่านไม่เห็นและไม่ได้ยินความเดือดร้อนของลูกหลาน จากนั้นคนฝันที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางศาลเลย ก็โทรมาแจ้งทางเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาตรวจสอบ พอเปิดประตูศาลเข้ามาก็พบว่า มีทองปิดอยู่ตรงจุดที่คนฝันโทรเข้ามาแจ้งพอดี จากนั้นมาก็เป็นความเชื่อกันครับ ว่าจะไม่ปิดทองตรงจุดดังกล่าว

                    เป้าหมายต่อไปของเราก็คือไปซื้อเครื่องเงินกันครับ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นแหล่งเครื่องเงินขึ้นชื่ออีกหนึ่งจังหวัด และเราได้รับคำแนะนำมาจากเจ้าหน้าที่ในลานจอดรถว่า ให้มาเลือกซื้อที่ถนนหลังศาลหลักเมือง เมื่อไปถามเจ้าหน้าที่ในศาลหลักเมือง ก็ให้คำแนะนำว่า จอดรถไว้ตรงนี้ แล้วเดินไปด้านหลังจะง่ายกว่า เพราะตรงนั้นไม่มีที่จอดรถ เราจึงมุ่งหน้าไปร้านขายเครื่องเงินกันครับ เมื่อไปถึง ก็พบว่า เป็นร้านจำหน่ายเครื่องเงินทั้งเส้นถนนเลยครับ มีให้เลือกหลากหลายร้านมากๆ

                      เราจึงตัดสินใจเดินไปร้านที่มีป้ายลดราคา 50% เป็นป้ายที่มีแรงจูงใจให้เดินเข้าไปเลือกซื้อครับ สาเหตุที่เลือกร้านนี้ เพราะหน้าร้านมีทางลาด เราสามารถเข็นรถเข็นขึ้นไปบนฟุตบาทได้ง่าย และภายในร้านไม่ค่อยมีลูกค้าหนาแน่น แต่หลังจากท่านแม่เข้าไปภายในร้านไม่ถึง 5 นาที ก็มีลูกค้าหลายกลุ่มทะยอยเข้ามาภายในร้านครับ








                 ถ้าถามว่า พวกเราดูเป็นไหมว่า เงินแท้หรือเปล่า ต้องขอตอบว่า ไม่เป็นนะครับ เลือกเอาที่ชอบ ถึงจะพยายามศึกษามาแล้วบ้างว่า ดูเครื่องเงินอย่างไร ดูสีของแสงที่ประกายวาวออกมา ให้สังเกตน้ำหนักของสร้อย หรือดูที่ราคา ถ้าถูกมากแปลว่าอาจจะไม่จริง พอถึงเวลาซื้อของเครื่องเงินกันจริงๆ ก็เลือกที่ถูกใจกันครับ ชอบอันไหน ราคารับได้ ก็ซื้อครับ ท่านแม่ที่ตั้งใจจะซื้อเพียงสร้อยเงิน ก็สนใจกำไล และแหวน เพราะมีแบบให้เลือกค่อนข้างมาก แต่ละแบบก็สวย มีประดับพลอย ถมดำ ถมทอง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่มีกำไล ขนาดพอดีกับข้อมือท่านแม่ และประกอบด้วย หิวข้าวกันเป็นอย่างมาก ทำให้ตัดใจ ซื้อแค่เท่าที่เลือกได้ครับ

                ขอตัดมาที่วัดที่ 3 ของเรานะครับ วัดนี้เราเดินทางกันในวันรุ่งขึ้น โดยออกจากโรงแรมเวลาประมาณ 10 โมงกว่า ใช้เวลาเดินทางประมาณ หนึ่งชั่วโมงนิดๆ กับการมาที่วัดเจดีย์ไอ้ไข่ ที่วัดนี้เป็นวัดที่มีชื่อเสียงอีกวัดในจังหวัดนครศรีธรรมราช คืนก่อนมาที่วัดนี้ เราได้ทำการค้นหาข้อมูลกันว่า จะหาของเล่นอะไรมาถวายกุมารเทพ ไอ้ไข่ดี หลังจากค้นข้อมูลแล้ว เราจึงแวะไปที่โลตัส ทำการหาซื้อของเล่นกันก่อนเข้าที่พัก






            หมอนซูชิหน้าตาน่ารักครับ แต่ไม่ใช่ของที่เราซื้อไปให้ไอ้ไข่นะครับ ของที่ซื้อจะเป็นพวกรถของเล่น ปืน ชุดทหาร ประมาณนั้นครับ ซึ่งในตัวภายในวัดเจดีย์ ก็มีจำหน่ายนะครับ ตั้งแต่ปากทางเข้าวัด ก็จะพบกับร้านจำหน่ายรูปปั้นไก่ เป็นจำนวนมาก 





















                  ด้วยความที่เคยมาครั้งแรก เราก็ไม่ทราบนะครับ ว่าอันไหนคือรูปปั้นกุมารเทพอันแรก หรือจุดไหนที่เราควรจะไปสักการะไหว้ จะเอาของไปวางถวายตรงไหน แต่หลังจากสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ จึงทราบว่า ของที่เอามาถวาย จะไปวางกันตรงที่เป็นรูปภาพนะครับ ทั้งสำหรับถวายธรรมดา และนำมาแก้บน ถ้าเป็นรูปปั้นไก่ หลังจากถวาย แล้วต้องไปทำพิธิปล่อยก่อนด้วย (ปล. อันนี้ไม่เข้าใจความหมายเหมือนกันนะครับ) สำหรับตรงรูปปั้น ไว้สำหรับไปกราบขอพร หลังจากที่กราบพระแล้ว

               อาจจะเป็นเพราะเรามาในวันช่วงใกล้วันหวยออก ประกอบกับมีคนมาทำพิธีแก้บนเป็นจำนวนมาก ทำให้ภายในศาลาค่อนข้างแน่นไปด้วยผู้คน และยังคงหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย หลังจากถวายของ ขอพรกันเสร็จแล้ว เราจึงเดินทางออกจากวัดครับ ภายในวัดมีลานจอดรถให้บริการค่อนข้างกว้างมากครับ เลือกจอดกันได้ตามใจชอบ แต่ระวังอย่าไปบังทางออกของรถคันอื่นนะครับ

                สรุปทริปวัด ในจังหวัดนครศรีธรรมราชของพวกเราจบลงตรงนี้นะครับ สำหรับสาธุชนท่านใดที่มีความประสงค์อยากไปห่มผ้าพระธาตุ สามารถไปติดต่อขอบูชาผ้าที่ทางวัดได้ หรือถ้าจะนำไปเอง รอบฐานพระธาตุด้านล่างมีความยาวประมาณ 100 เมตรนะครับ แต่ถ้าเป็นปีหน้าหลังเสร็จการปฏิสังขรณ์ด้านบน ก็จะสามารถห่มด้านบนได้ครับ โทรไปสอบถามขอข้อมูลเพิ่มเติมกัับทางวัดพระธาตุได้นะครับ และศาลหลักเมือง จะมีเสาทั้งหมด 5 ต้นนะครับ สามารถนำผ้าแพรไปผูกเองได้ครับ แต่ก็อย่าลืมสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลด้วยนะครับ เผื่อมีอะไรเปลี่ยนแปลงครับ มีโอกาสก็ไปสักการะกันนะครับ ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม