วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Swiss High Tea at Deli Swiss, G Floor.

                   ด้วยเราได้บัตร Complimentary Voucher มาจากตอนที่ซื้อบัตรรับประทานอาหารในงานไทยเที่ยวไทย หรือพูดง่ายๆก็คือบัตรฟรี แถมมาให้เพิ่ม 2 ใบครับ โดยบัตรนี้มีมูลค่า 530 บาท ความจริงพวกเราลืมบัตรชุดนี้กันไปแบบสนิทสุดๆครับ ต้องขอขอบคุณรายการทีวีรายการหนึ่งที่เอ่ยถึงการไปทาน Afternoon tea set ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ทำให้เรานึกถึงบัตรชุดนี้ ว่าจะหมดอายุภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2562 จึงไม่รอช้าครับ ออกเดินทางกันวันนี้เลย โดย 1 ใบ จะทานได้ 1 เซ็ทเมนู ที่ Deli Swiss, G Floor. ตรงนี้ไม่ใช่เป็นห้องอาหารนะครับ จะเป็นมุม Corner เล็กๆ ข้างๆกับ Lobby แต่ก็มีที่นั่งไว้สำหรับทานกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นที่นั่งแบบแนว โต๊ะเก้าอี้ ธรรมดาๆกันเลย

บัตร Voucher

                  เมื่อมาถึงก็แจ้งความประสงค์กับน้องพนักงานได้เลยครับ ปกติที่เราไปทาน Afternoon tea set กันตามโรงแรมอื่นๆ จะเป็นแบบ มาเป็น Set ใส่ Tower บ้าง เรียงบนชั้นเหล็กบ้าง บางที่ก็มาเป็นจานๆ พร้อมกับเครื่องดื่ม แต่สำหรับที่นี่ Swiss High Tea คือ เราสามารถเลือกชนิดขนมได้เองครับ โดยเริ่มจากการเลือก pie ใน 1 ชุด จะสามารถเลือก pie ราคา 50 บาท ได้ 3 อัน พวกเราก็เลือกกันมาครบครับ ทั้งพายเห็ดทรัฟเฟิลไส้กรอก พายไส้กรอกขี้เมา และพายชีสไส้กรอก

                  ต่อด้วย ขนมเค้ก 1 ชิ้นต่อ 1 เซ็ท ตรงนี้สามารถเลือกสั่งได้ทุกชิ้น ยกเว้นราคาชิ้นละ 170 บาท อันนี้ไม่ร่วมในเซ็ทครับ ก็มีให้เลือกหลากหลายชนิดโดยในแต่ละวันก็จะมีให้เลือกทานไม่เหมือนกันนะครับ จากนั้นก็จะเป็นการเลือก Butter cake สามารถเลือกได้ 1 อัน ต่อ 1 เซ็ท โดยมีให้เลือก 3 ชนิด ก็คือ บัตเตอร์เค้กธรรมดา บัตเตอร์เค้กมีมาเบิ้ลชอคโกแลต และเค้กกล้วยหอม 

                 สุดท้ายของขนม ก็จะเป็นมาการอง สามารถเลือกได้ เซ็ทละ 2 อัน ครับ จบที่การเลือกสั่งเครื่องดื่ม โดย 1 Set สามารถเลือกเป็นกาแฟ หรือชา ได้ 1 ที่ โดยชาก็จะเสริฟ์เป็นกาครับ พวกเราตัดสินใจเลือกเป็นชากัน ทาง Deli Swiss จะใช้ชาของ Dilmah ตรงนี้เลือกชนิดชาได้ตามอัธยาศัยเลยครับ

                 หลังจากเลือกขนมและเครื่องดื่มกันเป็นที่เรียบร้อย ก็สามารถเดินไปหาที่นั่งได้เลย โดยตรงนี้น้องพนักงานสอบถามว่า จะรับกลับบ้านหรือทานที่นี่ ทำให้เป็นความรู้เพิ่มว่า เราสามารถสั่งกลับบ้านได้นะครับ หรือเมนูไหนทานไม่หมด ทาง Deli Swiss มีบริการแพคใส่กล่องกลับบ้านให้ด้วย


                   น้องพนักงานจะนำจานพร้อมมีด และส้ม มาให้ตามจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการนะครับ ซึ่งวันนี้เรามากัน 3 ท่าน สำหรับการทาน 2 Set (ตรงนี้ทางโรงแรมแจ้งว่า สามารถทานได้ 2 ท่านต่อ 1 Set ครับ) จากนั้นใช้เวลาไม่นานก็เริ่มทะยอยเสริฟ์ขนมครับ
                 
อุปกรณ์ในการทาน

เค้กอัลมอนกาแฟ

เค้กมะพร้าว

บัตเตอร์เค้กมาร์เบิ้ลและเค้กกล้วยหอม

พายไส้กรอกทรัฟเฟิล-พายไส้กรอกขี้เมา-พายชีสไส้กรอก

มาการอง

                   ด้วยท่านแม่ไม่สะดวกในการนั่งเก้าอี้ปกติกับโต๊ะทั่วไป เราจึงเลือกมาใช้บริการโซฟาด้านใน ซึ่งในส่วนนี้ทางโรงแรมกำลังปรับปรุงอยู่ จึงมีโต๊ะกลมตัวเล็กๆสำหรับตั้งขนมเพียงตัวเดียว เลยไม่ได้ถ่ายกาน้ำชาที่วางบนเก้าอี้ไม้มาด้วยนะครับ 

                   ขอเริ่มกันที่เค้กอัลมอนด์กาแฟ ตรงนี้อร่อยกว่าที่คาดไว้มากครับ ตัวมูสกาแฟเนื้อนุ่มหอม ละมุนๆ รสชาติกาแฟไม่ได้เข้มแต่อย่างใด โดยอัลมอนด์ที่โรยไว้รอบตัวเค้ก กรุบกรอบอร่อยมากๆ เป็นเค้กที่มีเนื้อแป้งน้อยมากครับ อยู่ตรงกลางข้างในลึกๆ เรียกว่ามูสมาเต็ม ทานมากๆอาจจะแอบเลี่ยนมูสได้

                   ต่อด้วยบัตเตอร์เค้ก อันนี้ค่อนข้างฝืดคอครับ ด้วยสัมผัสที่เป็นบัตเตอร์เค้กจริงๆ ไม่มีอะไรเลย เหมาะกับการนำมาทานคู่กับมูสกาแฟของเค้กอัลมอนด์กาแฟเป็นอย่างมาก ทานคู่กันแล้วกำลังดีเลยครับ อร่อยกลมกล่อม ส่วนเค้กกล้วยหอม อันนี้มีรสชาติบ้างครับ ตัวเนื้อเค้กก็ค่อนข้างไปทานแข็งนิดหน่อย แต่ก็ทานได้

                    เค้กมะพร้าว ตรงนี้ท่านแม่ชอบเป็นการส่วนตัว ด้วยเนื้อแป้งเค้กมาแบบเบาๆ นุ่มๆ แต่เรากับผู้ร่วมทริปอีกท่าน รู้สึกว่าไม่ใช่ทางครับ ถ้าเนื้อมะพร้าวเป็นมะพร้าวอ่อน น่าจะอร่อยกว่านี้ สุดท้ายที่พายครับ พายไส้กรอกขี้เมา รสชาติกลมกล่อมอร่อยดีครับ เป็นขี้เมาแบบจางๆ ไม่ได้เผ็ด รสชาติจัดจ้านแต่อย่างใด ออกแนวขี้เมาผู้ดีๆ รสชาตินุ่มๆ ตัวเนื้อแป้งพายอร่อยดีครับ ส่วนพายไส้กรอกเห็ดทรัฟเฟิล อันนี้ไม่ค่อยอร่อยเท่าไรครับ ตัวเห็ดทรัฟเฟิลปรุงมาให้สัมผัสแบบ มันไม่ใช่ครับ ตามด้วยพายชีสไส้กรอก ตรงนี้ไม่ได้ทานครับ จุกกันซะก่อน ก็เลยห่อกลับพร้อมเซ็ทมาการองทั้ง 4 อันครับ

                  สรุปตามความเห็นส่วนตัวของเรานะครับ ด้วยเป็นบัตรทานฟรีที่ได้แถมมา ทำให้ไม่ค่อยคาดหวังอะไรสักเท่าไร แต่ก็มีบางรายการที่อร่อยถูกใจ เช่นเค้กอัลมอนด์กาแฟ และพายขี้เมา ส่วนความคุ้มค่า เมื่อเทียบราคาเซ็ทละ 530 บาท กับปริมาณขนม เครื่องดื่มที่ได้รับ ก็ถือว่าสมราคาในระดับโรงแรมนะครับ ส่วนความอร่อย อันนี้เราไม่ค่อยถูกใจหลายรายการ ทำให้ถ้าต้องจ่ายเงิน 530 บาทเอง เพื่อมาใช้บริการทาน 1 เซ็ท ก็คงไม่มาครับ

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ร้าน เตี๋ยวเกี๊ยวยักษ์ สูตรเด็ดแม่ (สาขาเยาวราช)

              ปกติเวลาเราไปซื้อของหรือทำธุระในช่วงเช้าก่อนเที่ยง ที่แถวเยาวราช จะไปจอดรถที่อาคารจอดรถในซอยมังกร ตรงข้ามกับร้านสตาร์บัค และการหาอะไรทานรองท้องที่ย่านนี้จะเป็นอะไรที่ตัดสินใจค่อนข้างลำบาก ด้วยบางทีสถานที่นั่งทานก็ไม่ค่อยอำนวยสักเท่าไร บางร้านก็ค่อนข้างมีที่นั่งจำกัด ไหนจะคนเดินผ่านไปมา และบางทีก็ไม่อยากเดินไปไหนไกลจากอาคารจอดรถแล้ว ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินซื้อของแล้วเป็นเวลานาน

                 ร้านประจำของเราจึงเป็นร้านบะหมี่ฮั่วเซ่งฮง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากซอยที่จอดรถมากนัก และเราก็ได้สังเกตเห็นร้าน เตี๋ยวเกี๊ยวยักษ์ สูตรเด็ดแม่ (สาขาเยาวราช) อยู่หลายครั้ง แต่ยังไม่มีโอกาสได้แวะทาน ด้วยทางร้านเริ่มเปิดขายในเวลา 10.30 น. ไปถึงก่อนเวลา ก็ยังไม่พร้อมขายตามที่ประกาศครับ แต่ในวันนี้เราอยู่แถวเยาวราชจนเกือบเที่ยง ทำให้ได้โอกาสลองแวะทานสักหน่อย


บรรยากาศหน้าร้าน

มุมเครื่องดื่ม

มุมสำหรับชำระเงินและสั่งอาหารกลับบ้าน

                  หลังจากเดินเข้าไปภายในร้าน สามารถเลือกมองหาโต๊ะว่างได้ตามอัธยาศัยนะครับ เว้นแต่ถ้าในช่วงคนเต็มร้าน อาจจะต้องยืนรอคิวกันหน้าร้านสักหน่อยครับ



              
  หลังจากได้โต๊ะนั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สักครู่เดียวจะมีน้องพนักงานนำเมนูมาให้เราทำการเลือกสั่งอาหารกันนะครับ


เมนู 1

เมนู 2

                            รายการเมนู ก็มีให้เลือกหลากหลาย แต่สรุปโดยรวม เครื่องสำหรับก๋วยเตี๋ยวจะมี เกี๊ยวกุ้ง (ซึ่งด้านในผสมเนื้อหมู) หมูย่าง หมูเด้ง และลูกชิ้นปลาครับ และทางร้านมีจำหน่ายเส้นบะหมี่ เส้นเล็ก เส้นใหญ่ (ไม่ใช่เป็นเส้นบะหมี่เล็ก ใหญ่ นะครับ แต่คือเส้นใหญ่จริงๆ อันนี้ผมเข้าใจผิดเองตอนฟังรายการเส้น ไม่ได้เอะใจเลย คิดแต่ว่า เป็นบะหมี่เส้นใหญ่แบบแบน) มาลองครั้งแรก ก็เลยเลือกตามเมนูแนะนำครับ ใช้เวลาไม่นานนะครับ ก๋วยเตี๋ยวก็นำมาเสริฟ์ที่โต๊ะเป็นที่เรียบร้อยครับ


เส้นใหญ่เกี๊ยวกุ้ง รวมหมูต้มยำ

บะหมี่จักรพรรดิ์ ใส่ปู

สีเนื้อหมูย่างมาแบบชมพู

บะหมี่จักรพรรดิ์ ปริมาณเส้นจัดมาเต็มพอควรครับ
              
น้ำกระเจี๊ยบ + น้ำเก๊กฮวย

น้ำซุป
                   สำหรับรสชาติอาหารนะครับ ขอเริ่มจากเส้นใหญ่เกี๊ยวกุ้ง รวมหมูต้มยำกันก่อนเลย เส้นใหญ่ลวกมาได้นิ่มกำลังดี นุ่มแต่ไม่เละ อันนี้ชอบมากครับ ส่วนเนื้อหมูย่าง ก็นุ่ม หอม อร่อย ไม่เหนียว ไม่แห้งจนเกินไป ตัวเกี๊ยวกุ้งก็ไส้ข้างในแน่น แต่แป้งเกี๊ยวรู้สึกว่าหนาไปสักหน่อย น้ำซุปต้มยำอร่อยดีครับ ทางร้านปรุงมาดี ไม่ต้องใส่อะไรเพิ่ม อร่อยครบรสอยู่แล้ว ไม่เผ็ดจนเกินไป 

                   บะหมี่จักรพรรดิ์ มีใส่ไข่ยางมะตูมมาให้ด้วย ตัวเส้นบะหมี่ลวกมาได้นุ่มกำลังดี เส้นบะหมี่ให้มาในปริมาณค่อนข้างเยอะดีครับ เรียกว่าทานหมดคนปกติคงมีจุกกันได้เลย ส่วนเนื้อปู ก็ใส่มาให้ประมาณ 3 ก้อนกรรเชียงปูครับ น้ำซุปใสอันนี้มาแบบเช็งๆ รสชาติน้ำซุปอ่อนๆ ซดแล้วคล่องคอครับ ที่แฟนชอบเป็นพิเศษ ก็จะเป็นกากหมูหรือแคปหมูในชามนี่ล่ะครับ ทอดมาได้กำลังดี กรุบกรอบ ไม่เหม็นหืน สุดท้ายเครื่องดื่ม น้ำกระเจี๊ยบรสชาติออกไปทางหวานค่อนข้างมาก น้ำเก๊กฮวยอันนี้ผ่านครับ รสชาติไม่หวานมาก หอมกำลังดี

                        สรุปความคุ้มค่า เมื่อเทียบราคากับปริมาณและคุณภาพอาหารที่ได้รับ ส่วนตัวเราสองคนให้ผ่านนะครับ ปริมาณอาหารที่ได้ไม่น้อยจนเกินไป ความอร่อยโอเคเลย หลังทานเสร็จจึงสั่งใส่ถุงกลับไปฝากท่านแม่ที่บ้าน ที่ร้านมีคิดค่าบริการใส่ถุงกลับบ้านเพิ่ม ทุกเมนูๆละ 5 บาทนะครับ ท่านใดผ่านมาแถวเยาวราช อย่าลืมมาลองทานกันนะครับ


บิลค่าเสียหาย


                

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2562

บ้านอยุธยารมณ์

                    ปกติทุกทริปที่มาสักการะไหว้พระกันที่อยุธยา ปัญหาหลักที่ประสพพบเจอกันทุกรอบก็คือ จะทานอาหารกลางวันกันที่ร้านไหน หลังจากรอบก่อนที่เราไปทานกันที่ร้าน Good view แล้วรู้สึกไม่ค่อยประทับใจเท่าที่ควร มาวันนี้จึงทำการบ้านกันล่วงหน้าสักหน่อย แล้วก็ได้รู้จักร้าน บ้านอยุธยารมณ์ ซึ่งเจ้าของเดียวกับ บ้านอิสระ ที่หัวหิน น่าจะเป็นการรับรองความอร่อยได้บ้าง 

                     หลังจากไหว้องค์จตุคามรามเทพที่วัดพุทไธศวรรย์ เป็นที่เรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารกันทันทีครับ ถึงร้าน บ้านอยุธยามณ์ ในเวลาประมาณ 11.40 น. ทันทีเลี้ยวเข้าปากซอยร้าน ซึ่งก็คือประตูทางเข้าวัดอันใหญ่ครับ เมื่อเลี้ยวตามป้ายเข้ามา ก็จะพบกับลานจอดรถค่อนข้างกว้าง หน้าประตูทางเข้ามีประดับด้วย พญานาคสีขาว เป็นจำนวนมาก อยู่รอบบริเวณสระน้ำด้านหน้าทางเข้าร้าน ก่อนเข้าประตู้ร้าน ก็จะเห็นป้ายเมนูแนะนำรายการอาหารนะครับ




                    เมื่อก้าวเท้าผ่านประตูด้านหน้าเข้ามา ก็พบกับบรรยากาศความร่มรื่น มีเรือนไม้ทรงไทยหลายหลัง อยู่ทางด้านซ้ายและขวา มีชิงช้าทำจากไม้หลายแบบ วางเรียงรายไว้ให้นั่งเล่น ถ่ายรูปได้ มีต้นไม้ต้นใหญ่อายุน่าจะหลายสิบปี ประดับอยู่ภายในทั่วร้าน และยังมีของเล่นม้าไม้รูปทรงต่างๆ วางเรียงรายไว้หลายตัว ให้ความรู้สึกสงบร่มรื่น ร่มเย็น และสบายตา เป็นอย่างมากครับ


บรรยากาศด้านใน

บรรยากาศด้านใน

                    สำหรับโต๊ะนั่งทานอาหาร ถ้าเรามากัน 2-4 ท่านจะสามารถเลือกนั่งทานในศาลาเล็กๆ มีวางเสื่อและหมอนอิง ให้เรานั่งทานบนพื้นแบบสไตล์ไทยโบราณ พร้อมมีแส้ให้ปัดแมลงวันที่มารบกวนการทานอาหารของเราด้วยครับ แต่ด้วยวันนี้เรามากัน 10 คน จึงเลือกที่จะนั่งเก้าอี้แบบปกติ ริมน้ำด้านในกันครับ

ที่นั่งด้านหน้า สำหรับตอนเย็นครับ

เมนูอาหาร

                  สำหรับการสั่งอาหาร วันนี้ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสั่งสักเท่าไรครับ ท่านแม่และน้าๆ จัดการสั่งกันเรียบร้อยหลายอย่างแล้ว เราจึงไม่ได้มีโอกาสจับเมนูครับ ทำให้ไม่มีภาพรายการอาหารด้านใน ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ (บางเมนูอาจจะเอ่ยชื่อไม่ถูกต้องนักนะครับ)

                   น้องพนักงานในร้านดูแลเป็นอย่างดีครับ ให้คำแนะนำด้านอาหารได้ละเอียด แถมบริการดีมาก มีการนำพัดลมตัวใหญ่มาเปิดให้บริการ ด้วยอากาศที่ค่อนข้างร้อน ถึงจะอยู่ริมน้ำ แต่ก็นานๆจะมีลมพัดมาสักที สำหรับอาหารทางร้านนะครับ อาจจะไม่ได้ออกมาเร็วทันใจมาก แต่ก็ไม่ถึงกับช้าครับ ประมาณ 20 นาที หลังจากสั่งอาหารกันเสร็จ รายการอาหารก็เริ่มทะยอยนำออกมาเสริฟ์


ยำปลาหมึกซอสมะขาม

ข้าวผัดปู

ผักเครื่องเคียงข้าวผัด

ยำหัวปลี

ปลาหมึกกระเทียมพริกไทย

ฉู่ฉี่ปลาเนื้ออ่อนนึ่ง

ฉู่ฉี่ปลาเนื้ออ่อนทอด

ออส่วนหอยนางรม

ผัดฉ่ารวมมิตร

ห่อหมกทะเล

เนื้อปูผัดผงกะหรี่

ทอดมันกุ้ง

ลาบปลาช่อน

ผักเครื่องเคียงลาบ

                   สำหรับรสชาติอาหารตามความเห็นส่วนตัวของครอบครัวเรานะครับ เริ่มจากเมนูแรก ยำปลาหมึกซอสมะขาม ทานแล้วก็ไม่รู้สึกถึงสัมผัสของซอสมะขาม แต่ปลาหมึกย่างอร่อยมากครับ เหมือนได้ทานปลาหมึกย่างเทริยากิเลย ตัวปลาหมึกย่างมาสุกกำลังดี ไม่เละ ไม่แข็งแห้ง เรียกว่าย่างได้อร่อยมากๆ ส่วนน้ำยำที่ราด ออกแนวซีฟู้ดหน่อยๆ แต่ที่อร่อยไม่แพ้ปลาหมึกคือ มะเขือยาวนึ่งที่ใส่อยู่ในยำครับ ทานคู่กับปลาหมึกและกระเทียมสดแล้ว เข้ากันเป็นอย่างมาก

                          จานต่อมาคือ ข้าวผัดปู ทางร้านผัดมาได้แบบไม่แฉะ ข้าวร่วนเป็นเม็ด เนื้อปูก็มีให้พบเห็น รสชาติโอเคดีครับ ต่อด้วยยำหัวปลี รสชาติยำ ก็ไม่แพ้ยำปลาหมึกครับ ครบรส เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวาน ตัวหัวปลีหั่นซอยความหนากำลังดี ทำให้ซึมซับน้ำยำได้เป็นอย่างดีด้วยครับ

                             ปลาหมึกทอดกระเทียม พวกเราสั่งมา 2 จานครับ จานนึงใส่พริก อีกจานไม่ใส่ รสชาติก็ใกล้เคียงกัน ต่างกันที่มีพริกสดโรยครับ ปลาหมึกทอดออกมาไม่เหนียว ตัวแป้งกรอบเบาๆ ทานแล้วก็เพลินดีครับ

                           ฉู่ฉี่ปลาเนื้ออ่อน พวกเราสั่งมา 2 แบบ ครับ แบบแรกเป็นแบบนึ่ง เนื้อปลาสด หวาน ทานคู่กับน้ำฉู่ฉี่ พริกแกงเข้มข้น แล้วเข้ากันเป็นอย่างดี ข้าวผัดไม่พอแน่นอนครับ พวกเราสั่งข้าวเปล่าเพิ่มถึง 2 โถ ด้วยความอร่อยและรสชาติจัดจ้านของอาหาร ต่อด้วยแบบทอด ทางร้านทอดมาได้กรอบกำลังดี กรอบโดยที่ยังคงเหลือเนื้อปลานุ่มๆด้านใน ไม่ได้แห้งจนเนื้อปลาแข็งกระด้างครับ อร่อยทั้ง 2 แบบแล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเลยครับ

                              ออส่วนหอยนางรม ถึงจะเป็นร้านอาหารไทย แต่รสชาติก็ไม่แพ้ร้านอาหารจีนเลยครับ ความสดของหอยนางรมใช้ได้เลย มีแป้งบางส่วนแอบเป็นก้อนเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วรสชาติโอเค ให้อภัยตรงจุดนี้ได้ครับ สำหรับพวกเราแล้ว เมนูนี้เป็นรองก็แค่เพียงร้านนายโซว ที่พลับพลาไชยครับ

                              ผัดฉ่ารวมมิตร มาร้านอาหารไทย ไม่สั่งผัดฉ่าก็คงไม่ได้นะครับ รสชาติจัดจ้านถึงใจ เรียกว่าต้องถูกใจคนชอบอาหารไทยแน่นอนครับ ความเผ็ด ครบรสมาเต็ม ไม่ได้รสชาติอ่อนๆจางๆ สำหรับชาวต่างชาติ

                               ห่อหมกทะเล และปูผัดผงกะหรี่ 2 เมนูนี้ ถือว่าใช้ได้ ตามมาตราฐานร้านทั่วไปครับ ไม่ได้อร่อยโดดเด่นแต่อย่างใด ตัวห่อหมก พริกแกงคล้ายกับฉู่ฉี่ แต่ความอร่อยเทียบกันไม่ได้ครับ และปูผัดผงกะหรี่ เนื้อปูก็มีความสดอยู่ ถึงแม้ปริมาณจะไม่มากเท่าไร

                                 ทอดมันกุ้ง อันนี้เราสั่งมากัน 2 จานครับ ด้วยปริมาณใน 1 จาน จะมีเพียง 5 ชิ้นเท่านั้น รสชาติอร่อยไม่แพ้ร้านอาหารจีนเลย กรอบนอก ด้านในอัดแน่นด้วยเนื้อกุ้ง สำหรับพวกเราแล้ว เมนูนี้เป็นรองก็แค่เพียงร้าน เกษร ที่ถ.จันทน์ เท่านั้นครับ

                                 สุดท้ายคือ ลาบปลาช่อน สั่งมากัน 2 จานอีกเช่นเดิมครับ ถึงจะมาท้ายสุด แต่ความอร่อย ประทับใจมากครับ ตั้งแต่ทานลาบปลาช่อนมา ร้านนี้อร่อยที่่สุดครับ และทางร้านเลาะเนื้อปลาช่อนที่ทอดแล้วออกมายำ จากนั้นจึงวางลงไประหว่างตัวปลาช่อนดังเดิม รสชาติมาครบรสมากๆ เผ็ดไม่มาก แต่รสอื่นๆจัดจ้าน ที่สำคัญลาบออกมาได้แห้งกำลังดี ไม่่มีความแฉะของเครื่องลาบเลย ยิ่งทานยิ่งเพลินครับ

                         หลังจากทานอาหารกันเสร็จ ก็ถึงเวลาของขนมหวาน จริงๆอยากสั่งกันหลายเมนูเลยครับ แต่น้องพนักงานแจ้งว่าหมด ทำให้เราสั่งกันเท่าที่มีมาแบ่งกันทานครับ


ขนมโค และขนมหัวล้าน

ขนมโคและขนมหัวล้าน

ลอดช่องน้ำกะทิ
                       
                                ในส่วนของขนมหวาน เริ่มจากขนมหัวล้าน ด้านในจะเป็นถั่วเหลือง รสชาติออกหวานทานกับน้ำกะทิรสชาติออกเค็มหน่อยๆ ทานแล้วก็เข้ากันดีครับ ต่อด้วยขนมโคราดน้ำกะทิ ด้านในไส้คล้ายขนมต้ม ทานแล้วก็อร่อยแปลกๆดีครับ สุดท้าย ลอดช่องน้ำกะทิ ตัวลอดช่องก็นุ่มกำลังดี ทานคู่กับน้ำกะทิเย็นๆแล้วสดชื่น ชื่นใจครับ

                      สรุปรสชาติโดยรวม อาหารอร่อยหลายเมนูครับ โดยเฉพาะอาหารไทย ส่วนใหญ่รสชาติจะเผ็ดจัดจ้าน ครบเครื่อง ครบรส มาทานแล้วรับรองว่าทานข้าวได้เยอะครับ ส่วนขนมหวาน เป็นขนมไทยเดิมส่วนใหญ่ สำหรับความอร่อยมากหรือน้อย อันนี้ไม่เคยทานแบบนี้ที่อื่นเหมือนกันครับ ทำให้ระบุไม่ค่อยได้ว่า อร่อยขนาดไหน ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับปริมาณอาหาร คุณภาพอาหาร และราคาแล้ว ให้ความรู้สึกว่าไม่แพงเลยครับ อิ่ม อร่อย จนจุกครับ ที่สำคัญ ภายในร้าน มีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆเป็นจำนวนมาก เรียกว่าทานอาหารอิ่มแล้ว อย่าลืมแวะถ่ายรูปกันด้วยนะครับ พวกเราอยู่ที่ร้านอาหารประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆได้ครับ ด้วยอาหารแต่ละเมนูก็ใช้เวลาในการทำพอสมควรครับ ไม่เหมาะสำหรับท่านที่มีธุระด่วนต่อ หรือต้องการทำเวลาในการทานอาหาร นอกเหนือจากนั้น ขอแนะนำให้มาลองทานกันครับ แล้วจะประทับใจแบบครอบครัวเราครับ (เก็บเป็นร้านอาหารที่จะมาทานทุกครั้งที่มาอยุธยากันเลย)

บิลค่าเสียหาย

Tsunami October 13, 2019

                  จากที่เมื่อเดือนที่แล้ว เรากับแฟนพลาดไปลองทานร้าน Tsunami ที่สาขาถนนพระยาสัจจา ทำให้รู้ว่า แต่ละสาขาคุณภาพอาหารและปริมาณไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าเชฟที่ปรุงอาหารมาให้เราเป็นสไตล์ไหน มาวันนี้ เราจึงกลับไปทานกันที่ร้าน Tsunami สาขาประจำ สาขา J-park ศรีราชากันครับ พวกเรามาถึงในเวลาประมาณ 11.40 น. ลูกค้าในร้านก็ยังไม่ค่อยหนาแน่นสักเท่าไร ยังพอมีโต๊ะว่างให้บริการค่อนข้างเยอะ

                     การตกแต่งและบรรยากาศภายในร้าน สำหรับสาขา J-park ค่อนข้างจะจัดให้มีระยะห่างระหว่างโต๊ะค่อนข้างมากกว่า ทางสาขาถนนพระยาสัจจาครับ ทำให้รู้สึกว่า ค่อนข้างส่วนตัวและนั่งสบายกว่า ไม่อึดอัด ด้วยบรรยากาศภายในร้าน โล่งสบายตามากกว่า เคาน์เตอร์สำหรับเชฟ จะอยู่ตรงกลางค่อนไปทางด้านใน




                         หลังจากได้โต๊ะสำหรับนั่งทานเป็นที่เรียบร้อย เราก็ได้รับเมนู พร้อมๆกับที่น้องพนักงานมายืนรอรับรายการอาหารครับ เช่นเดิมครับ สามารถสั่งได้ทุกรายการในเมนู และควรบอกตัวเลขพร้อมทวนรายชื่ออาหารในการสั่งด้วยนะครับ เพราะจะได้ป้องกันความผิดพลาดในการที่เราบอกตัวเลขผิดครับ
ในช่วงนี้มีเมนูพิเศษเป็นหอยนางรมญี่ปุ่นตัวใหญ่(หอยกากิ)ครับ เดือนที่แล้วเป็นเนื้อวัว


อุปกรณ์ในการทานครับ





                       แน่นอนครับที่เราไม่พลาดที่จะสั่งมาลองทานกัน แต่ด้วยไม่ถนัดของเผ็ด ของทอด และไม่อยากทานข้าวเพิ่มอีก จึงสั่งเป็นหอยกากิคาริครับ


ยำปูอัดสไปซี่

ขิงดอง

ครีบหอยเชลส์

อิกะจัง

แมงกระพรุนน้ำมันงา

มิโสะซุป

ชาจีนร้อน

แซลมอนโทโร่อาบูริ

แซลมอนโทโระมิโสะ

แซลมอนโทโระมิโสะ

แซลมอนสไปซี่

ยำปลาทูน่า

เอนกาวะฟัวกราโรล

ข้าวหน้าปูซุไวและอิคุระ

แซลมอนโรล

ท้องปลาแซลมอนย่างเกลือ

หอยกากิคาริ

ทูน่าซาซิมิ

โทโระแซลมอนซาซิมิ

ท้องปลาแซลมอนย่างซีอิ๊ว

อิคุระไข่กุ้ง

มากุโร่ ทากากิ

ซูชิทูน่าฟัวกราส์

อิกะจัง และแมงกระพรุนน้ำมันงา

ไอศครีมมันม่วง+รัมเรซิน+นมฮอกไกโด

หอยกากิคารี

                        ขอสรุปรสชาติอาหารตามความเห็นส่วนตัวของเราสองคนนะครับ เริ่มจากบรรดาเมนูประจำที่สั่งทานทุกครั้งที่ไปร้าน Tsunami ความอร่อยยังคงเดิมครับ เหมือนรู้สึกได้กลับบ้าน ข้าวปั้น ซูชิ โรล ข้าวไม่แน่น ไม่อัดเป็นก้อน ทานแล้วรู้สึกว่าข้าวน้อยดีจัง ทานอร่อยด้วยความรู้สึกว่า นี่ล่ะ ที่เราต้องการ เนื้อปลาทุกอย่างคุณภาพยังคงเดิม ความสดก็แบบเดิม เพิ่มเติมคือ รอบนี้ได้ฟัวกราชิ้นใหญ่ขึ้นมาวางทอปปิ้งบนหน้าซูชิ 

                                  เมนูพิเศษช่วงนี้ หอยกากิคาริ หอยนางรมก็มาแบบสด ตัวใหญ่ เต็มปากเต็มคำ ยิ่งทานยิ่งอร่อยครับ รู้สึกว่าฟินมาก และเมนูข้าวปูซุไวและอิคุระ ด้วยปกติจะทานเป็สึนามิด้ง วันนี้อยากลองครับ แล้วก็โดนครับ ไม่อร่อยครับ เนื้อปูซุไว ไม่ค่อยสดเท่าไร เป็นครั้งแรกที่ทานเมนูด้ง แล้วข้าวเหลือ ยังดีที่เราสามารถสั่งปลาดิบเมนูอื่นมาทานคู่กับข้าวได้ ไม่อย่างนั้นคงแย่เหมือนกันครับ รอบหน้าจะกลับไปทานสึนามิด้งแบบเดิมดีกว่า อร่อยกว่าเยอะครับ

                       แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประมาณ 12.10 น. ลูกค้าเริ่มเต็มร้าน สิ่งที่เราไม่เคยได้พบก็เริ่มขึ้น ที่ผ่านมา ไม่เคยมาทานในช่วงเวลาที่ร้านเต็มร้านมาก่อน ทำให้เพิ่งเคยประสพครั้งแรก อาหารที่สั่งเริ่มออกมาช้า และขาดตอนมากขึ้น ปกติเราจะทะยอยๆสั่ง เรียกว่าไม่สั่งมาทีเดียวเยอะๆ จากประสพการณ์การทานมาหลายร้าน เวลาสั่งมาทีเดียวเยอะๆ ก็จะเจอแบบ อัดข้าวมาแน่น เรียกว่า เอาให้จุกันในรอบเดียว และที่ผ่านมาทางร้าน Tsunami ก็ไม่เคยอาหารออกช้าครับ จนวันนี้ แฟนต้องรอซูชิ 2 จาน เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เรียกว่า สั่งไอศครีมทีหลัง กินจนหมด ก็ยังไม่ได้ รอจนเกือบจะหมดเวลาในการทานแล้ว ถึงจะได้ 2 จานที่สั่งมาครับ

                               ทำให้ความรู้สึกดีๆ ช่วงแรกที่ได้สัมผัสมา มลายหายสิ้นไปกับการรอนานของซูชิ 2 จาน ด้วยเราเองก็ไม่เคยมาทานในช่วงปริมาณลูกค้าคับคั่งแบบนี้ น้องพนักงานในร้านก็พยายามตามให้ 3 คน 3 รอบ ก็ยังไม่ได้อาหาร อาจจะเพราะรายการอาหารที่สั่งของแต่ละโต๊ะมีจำนวนมาก ทำให้เราต้องรอคิวนาน แต่ก็แอบรู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านไปเฉยๆ เพราะไม่มีอะไรให้ทานครับ คนที่รอทานก็รอจนหายอยากทาน 

                              ถ้าถามถึงความคุ้มค่าที่จะมาทานที่ร้าน Tsunami ก็ต้องขอบอกว่า ยังคงความอร่อย และเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นบุฟเฟ่ต์ที่ยังคง Concept ไม่อัดยัดเยียดข้าวให้ มีอาหารหลากหลายให้เลือกทาน ยังคงน่าจะที่จะมาทานอยู่ครับ เพียงแต่ควรจะเลือกช่วงเวลาที่ลูกค้าไม่หนาแน่น หรือจนกว่า ทางร้านจะมีมาตราการ ปรับปรุงการทำอาหาร ให้ลูกค้าไม่ต้องรอนานขนาดนี้ครับ

บทความที่ได้รับความนิยม