วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ภูกระดึง 3 วัน 2 คืน




Tip เกร็ดเล็กน้อย

1. บนภูกระดึงมีของขายทุกอย่างจริงๆ ยาคลายกล้ามเนื้อ, ไฟฉาย, เสื้อผ้า, รองเท้า, สายชารจ์ ไม่จำเป็นอย่าแบกอะไรให้หนักกระเป๋าสัมภาระ เพราะมันเป็น "ภาระ" จริงๆ
2. บนภูระดึงถึงจะไม่มีตู้ ATM แต่ถ้าเงินสดหมด แทบทุกร้านค้ามีบริการให้โอนเงินได้ รวมถึงโอนเงินให้ร้านค้าแล้วขอรับเป็นเงินสดได้ด้วย ถ้าไม่อยากพกเงินสดไปเยอะๆ ก็ควรมีเงินติดไว้ในบัญชีที่มี app ในมือถือบ้าง
3. สภาพอากาศเราไม่สามารถเดาได้ อาจไปถึงหน้าผาแล้วไม่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้น/ตก
4. ราคาอาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ ทุกอย่างอาจจะดูแพง แต่ถ้าคิดให้ดี เค้าต้องจ้างลูกหาบแบกขึ้นมานะ จ่ายไปเถอะ
5. เจ้าหน้าที่ทุกคนให้คำแนะนำอะไร กรุณาเชื่อ อย่าเถียงหรือซ่าส์เลย จะสร้างความเดือดร้อนแก่ตัวเองและคนรอบข้าง
6. การแต่งกายเสื้อผ้าสำหรับขึ้นภูกระดึง ควรเป็นชุดที่ใส่สบาย ผ้าอย่าหนาเกินไป เพราะเดินขึ้นเขาปีนป่าย ใช้แรงมากมันจะยิ่งร้อน รองเท้าผ้าใบควรใส่ถุงเท้ามีความหนาสักหน่อย
7. การแต่งกายเสื้อผ้าสำหรับลงภูกระดึง ตรงนี้เป็นกางเกงขายาวก็จะดี บางช่วงอาจจะต้องนั่งไถลตัวลงมากับก้อนหิน รองเท้าเปิดด้านหน้าได้จะดีครับ เพราะเล็บจะได้ไม่ไปชนกับขอบรองเท้าเวลาเราก้าวลงเนิน ด้วยเป็นขาลง จะต้องจิกเท้ากับพื้นแทบจะตลอดเวลา
8. ถุงกันทาก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ ถึงฝนจะไม่ตก แต่บริเวณที่มีหญ้า จะมีแอบแฝงอยู่ ถึงจะรีบเดินเร็วๆ แต่ทากกระโดดเกาะได้ครับ แต่ถ้าไม่อยากใส่ ใช้ซอฟเทลแบบทา ชะโลมให้ทั่วทั้งกางเกง จะพอช่วยได้ เพราะเมื่อทากได้กลิ่นซอฟเทล จะมึนแล้วไม่ขยับตัวครับ
9. ความสัมพันธ์เพื่อนฝูง คนรัก ที่ว่าจะเลิกคบกันเพราะมาภูกระดึง เป็นเพราะจะวัดน้ำใจคนเรากันก็ตอนลำบากนี่ล่ะ เวลาใครช้า จะรอกันหรือเปล่า หรือจะทิ้งกัน รีบเดินไปยังเป้าหมายก่อน ไม่สนใจคนด้านหลัง 
10. หลังจากกลับภูกระดึงแล้ว แขนและมืออาจจะบวมได้ เพราะเราเกร็งจับไม้แทบตลอดเวลา / ขาอาจจะด๋อย เดินขึ้น-ลงบันไดลำบากมาก ควรจะมีวันลาหยุดพักไว้อย่างน้อย 1 วัน 




         ทริปนี้เกิดขึ้นจากคุยกับแฟนแล้ว มีความเห็นตรงกันว่า สักครั้งในชีวิต อยากขึ้นไปภูกระดึงกัน ก็เริ่มหาข้อมูลจากในเวปพันทิป youtube และบอร์ดแนะนำต่างๆ รวมถึงเพจภูกระดึงที่มีมากมายหลายอัน แต่ส่วนใหญ่ที่รีวิวภาพจะตัดหายไปมาครับ ไม่ค่อยเห็นเส้นทางการเดินขึ้นภูกระดึงสักเท่าไร ทำให้เราสองคนเกิดแรงบันดาลใจครับที่อยากจะทำรีวิวแบบละเอียด เรียกว่าค่อยๆถ่ายรูปกันทุกจุดระหว่างทางขึ้นภูกระดึง ให้เป็นข้อมูลกับท่านอื่นๆเลย ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร เส้นทางเป็นยังไง มีหินต้องปีนป่ายไหม ทางเป็นป่าแบบไหน แต่เมื่อได้เดินขึ้นจริงๆต้องบอกว่า เข้าใจครับว่าทำไมถึงไม่มีข้อมูลสักเท่าไร เพราะว่าช่วงแรกๆก็ยังเฮฮา ถ่ายรูปเก็บกันตามทางได้อยู่ครับ จากนั้นพอผ่านไปเรื่อยๆ ความเหนื่อยล้า บวกกับการเดินทางขึ้นเขา ปีนก้อนหิน จับราวเหล็กปีนบันได ทำให้ไม่มีความรู้สึกอยากหยิบคว้ากล้องในกระเป๋าเป้ออกมาถ่ายรูปเลยครับ สำหรับคนที่ไม่เคยขึ้น ถ้าจะชิลๆถ่ายรูปไปตามทาง อาจจะใช้เวลาเดินขึ้นนานจนทำให้มองเห็นเส้นทางลำบากไปอีก กระทู้นี้จึงอาจจะไม่ค่อยมีรูปสักเท่าไรนะครับ เริ่มแบ่งปันความรู้และความรู้สึกกันครับ

           ขั้นแรกหลังจากที่เรากำหนดวันเดินทางกันได้แล้ว ว่าเป็นวันที่ 9-12 พฤศจิกายน 2561 ก็ต้องเริ่มจากการเดินทางไปถึงศูนย์นักท่องเที่ยวศรีฐานครับ พวกเราอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วยความที่วันลาหยุดไม่ค่อยจะเหลือกันแล้ว จึงเลือกที่จะเดินทางกันในคืนวันศุกร์ที่ 9 ด้วยรถบัสจากหมอชิต 2 และไปลงที่ผานกเค้า ต่อรถสองแถว ไปยังศูนย์นักท่องเที่ยวศรีฐาน ซึ่งตรงนี้เราก็ทำการบ้านศึกษาหาข้อมูลกันมาพอสมควรครับ ว่ารถบัสแบบ VIP ของซันบัส นั่งสบาย มีที่ช่อง USB ไว้สำหรับชารจ์แบต ก็ทำการจองผ่านเวป ตรงนี้สามารถเลือกชำระเงินตัดบัตรเครดิตหรือไปชำระที่เซเว่น แล้วค่อยไปรับตั๋วที่หมอชิต 2 ณ วันเดินทางได้เลยครับ

           ด้วยวันที่เราเดินทาง ฝนตกครับ ทำให้รถบัสไม่สามารถใช้ความเร็วได้ตามปกติ ระหว่างการเดินทาง แอร์บนรถหนาวมาก หน้าจอบนรถแสดงอุณหภูมิที่ 15 องศา ถึงจะมีผ้าห่มผืนน้อยมาให้ แต่ก็ไม่ค่อยช่วยอะไรเลย เรียกว่าแทบไม่ได้นอน ตรงนี้จึงเริ่มแอบรู้สึกว่าคิดผิด เราน่าจะเดินทางมานอนที่ จ.เลย แล้วค่อยตื่นแต่เช้าเพื่อไปเดินขึ้นภูกระดึง สำหรับเบาะก็กว้างอยู่ครับ มีที่วางเท้าสามารถยกขึ้นได้ บนรถบัสมีห้องน้ำแยก ญ-ช มีน้ำดื่มให้ 1 ขวดเล็ก กับขนม 1 แพค ในนั้นจะเป็น ยูโร่คัสตาร์ดเค้กกับขนมปังก้อน กับแยม 1 กล่องเล็ก พวกเรามาถึงที่ผานกเค้า ร้านเจ้กิม ในเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ช้ากว่าหมายกำหนดการ 

         ทางร้านมีพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน รวมถึงมีแคร่พร้อมเสื่อ โต๊ะจำนวนมากอยู่ด้านในไว้รับรองนักท่องเที่ยว เจ้าของร้านก็ใจดีครับ หลังจากจัดการธุระเสร็จแล้ว พวกเราก็ทานอาหารเช้ารองท้องกันที่ร้านเจ้กิม ด้านข้างๆร้านจะมีร้านกาแฟสด รสชาติโอเคให้บริการอยู่นะครับ เมื่อพร้อมกันแล้วก็เดินไปทางขวามือของร้านเจ้กิม จะพบกับที่จอดรถกระบะแดงเป็นจำนวนมาก ตรงนี้อัตราค่าบริการไปศูนย์ฯศรีฐาน คนละ 30 บาท แต่ต้องนั่งรอรถเต็มคันนะครับ(10คน) ถ้าไม่อยากรอก็สามารถเหมาได้ในราคาเที่ยวละ 300 บาท

         ใช้เวลาประมาณ 25 นาที เราก็จะมาถึงศูนย์ฯศรีฐานครับ ตรงนี้สามารถติดต่อที่พักที่เราจองไว้ สำหรับท่านที่อยากจองล่วงหน้าทางเว็ปของอุทยานสามารถจองได้ก่อนวันเข้าพัก 60 วันนะครับ ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก แต่ต้องสมัครสมาชิกเว็ปครั้งแรกก่อน หลังจากจองแล้วก็ไปโอนเงินชำระค่าที่พัก ส่งแฟกซ์ไปยังเจ้าหน้าที่อุทยาน ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ ตรงนี้มีให้ซื้อประกันอุบัติเหตุสำหรับ 7 วัน ที่ราคาคนละ 10 บาท เจ้าหน้าที่แนะนำให้เราทำการถ่ายภาพตั๋วเก็บไว้ในมือถือ เผื่อเกิดอุบัติเหตุอะไรจะได้ใช้รูปในการเบิกค่ารักษาพยาบาล ในกรณีเราทำตั๋วหาย


         จากนั้นก็จะเป็นการไปจ้างลูกหาบครับ เดินเข้าไปด้านใน จะมีศาลาให้ทำการเขียนบัตรชื่อติดกระเป๋า ใบละ 5 บาท พร้อมกับชั่งน้ำหนักกระเป๋า ตรงนี้ไปจ่ายค่าลูกหาบด้านบนนะครับ ด้านล่างจะชั่งแล้วเขียนน้ำหนักอย่างเดียว ราคากิโลกรัมละ 30 บาทครับ พวกเราติดต่อลูกหาบตอน 8.00 น. สัมภาระไปถึงด้านบนที่ศูนย์ฯวังกวาง เวลา 16.30 น.
     
           ก่อนเข้าภูกระดึงจะมีป้อมเจ้าหน้าที่ ให้เรานำบัตรประชาชนมาทำการลงทะเบียนกันก่อนขึ้น ซึ่งตรงนี้จะมีจำกัดนักท่องเที่ยวขึ้นได้แค่วันละไม่เกิน 5,000 คน ต่อวันนะครับ หมายความว่า จะคำนวนจำนวนคนบนภูกระดึงครับ ถ้ามีคนขึ้นไปแล้วครบ 5,000 คน เราจะต้องรอคนเหล่านั้นลงมากันก่อน ถึงจะขึ้นไปได้ครับ ตรงทางเข้าจะมีไม้ไผ่วางกองอยู่ ควรอย่างมากครับที่จะเลือกอันเหมาะมือมาสักอัน ไว้ช่วยพยุงตัวในการเดินขึ้นเขา

           หลังจากพร้อมกันแล้วก็เริ่มเดินขึ้นภูกระดึงครับ ตรงนี้กระเป๋าสัมภาระที่ติดตัวเราแบกขึ้นกันเอง มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากนะครับ ด้วยความที่ตอนแรกเราตั้งใจอยากถ่ายภาพมาก เลยแบกในเป้ทั้ง gopro, ไม้ต่อgoproแบบมีขาตั้ง, กล้อง epl8 + 14 / พกเลนส์ 40-150, ยาดม, ยาหม่อง, ยาอม, รวมๆแล้วน้ำหนักเกือบ 4 กิโลกรัม ถึงเวลาจริงๆ ในช่วงแรกยังมีแรงหยิบมือถือมาต่อไม้เซลฟี่ครับ หลังจากเดินไปสักพักต้องบอกว่า แค่หยิบมือถือมากดถ่ายธรรมดายังขี้เกียจเลย ด้วยความที่เป็นคนไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเป็นประจำ เมื่อต้องมาเดินขึ้นเขา ทำให้มีความล้าของกล้ามเนื้อค่อนข้างมากครับ สำหรับเส้นทางในช่วงแรก จะเป็นทางราบแล้วจะค่อยๆชันขึ้น ตามพื้นจะค่อยๆเริ่มมีหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ไปเรื่อยๆ ตรงนี้ควรมีรองเท้าที่เกาะยึดค่อนข้างดี เดินสบาย พวกเราใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก็มาถึงซำแฮก ระหว่างพักตรงนี้ก็เห็นสัมภาระของท่านอื่น ที่ลูกหาบกำลังหาบขึ้นมาครับ พี่ลูกหาบที่นี่แข็งแรงกันมากครับ มีติดลำโพง mp3 กับไม้ที่หาบ ฟังเพลงกันระหว่างเดิน ถ้าเราต้องสวนทางหรือพี่ลูกหาบเดินตามมา ตรงนี้ควรหลบให้ไปก่อนนะครับ 

           เมื่อมาถึงซำแฮก รองเท้าของเพื่อนร่วมทริปท่านนึง เกิดการขาดครับ แต่ไม่ต้องกังวลใจนะครับ ระหว่างทางที่พักตามซำต่างๆ มีจำหน่ายครบครับ มีรองเท้ายางสีดำ แบบที่ลูกหาบส่วนใหญ่ใช้ วางขายในราคาเพียง 89-99 บาทครับ เลือกซื้อใส่ได้อย่างสบายใจ จากนั้นเราก็เดินกันไปต่อครับ เหนื่อยก็นั่งพัก ร้านค้าทุกร้าน พ่อค้าแม่ค้าใจดีมากครับ เรียกให้นักท่องเที่ยวมานั่งพักในร้านกันก่อนได้ ไม่ซื้อของก็ไม่เป็นไร อัธยาศัยดี อารมณ์ดีกันทุกคนครับ สำหรับราคาอาหารและเครื่องดื่ม ยิ่งอยู่สูงราคาก็จะค่อยๆแพงขึ้นไปตามลำดัับนะครับ 

           ทางเดินขึ้นไปยังลานแป ในส่วนที่กินแรงที่สุดจะเป็นการก้าวเดินขึ้นบันไดหินตามทาง ที่ค่อนข้างชัน แต่สำหรับส่วนที่ยากคือในช่วงสุดท้ายกับการปีนบันไดเหล็กที่วางพาด 90 องศา และการเดินขึ้นเขา ปีนเหยียบบนก้อนหิน ไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตรงนี้ล่ะครับที่ทำให้มีความรู้สึกเข้าใจคำว่า "สัมภาระ" มันเป็นภาระจริงๆ กระเป๋าที่เราสะพายอยู่ เมื่อเราขึ้นมาถึงบนลานแปได้ ก็จะเป็นทางราบแล้วครับ ตรงนี้ก็จะเดินกันสบายๆ กับระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรนิดหน่อย เวลาประมาณ บ่ายสามเราก็มาถึงศูนย์ฯวังกวางครับ
           
              หลังจากรอรับกระเป๋าที่จ้างลูกหาบขึ้นมา เราก็ไปยังบ้านพักทีทำการจองไว้ ภายในห้องพักมีหลอดไฟ ที่จะทำงานในเวลา 6 โมงเย็น - 4 ทุ่มครับ ส่วนห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำร้อนที่ใช้ระบบแก๊ส ไม่มีปลั๊กไฟนะครับ ตรงนี้สามารถไปเสียบชารจ์ฟรีได้ที่ร้านอาหารทุกร้าน หรือไปใช้บริการเสียบชารจ์ที่ศูนย์ฯวังกวาง แต่มีค่าใช้จ่ายตามสิ่งของที่นำมาชารจ์ไฟครับ 


                ตอนเช้าสามารถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ที่ผานกแอ่น เวลาตี 5 มารวมตัวที่ศูนย์ฯวังกวางแล้วเดินไปกับเจ้าหน้าที่อุทยานครับ แต่ด้วยวันที่เราไปมีหมอกหนามาก ทำให้ไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น


                  กิจกรรมในช่วงกลางวันบนภูกระดึง คือการไปน้ำตก หน้าผา ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินไป หรือเช่าจักรยานไป ตรงนี้สำหรับการไปถึงผาหล่มสัก ทางเจ้าหน้าที่แนะนำให้ใช้เป็นจักรยานล้อใหญ่ ด้วยเส้นทางเป็นดิน บางช่วงเป็นโคลน ขึ้นเนิน-ลงเนิน ขรุขระ ค่อนข้างมาก โดยราคาจักรยานล้อเล็ก อยู่ที่วันละ 360 บาท / จักรยานล้อใหญ่ อยู่ที่วันละ 410 บาท ก่อนที่จะขี่จักรยานออกจากส่วนกลาง เจ้าหน้าที่จะแนะนำเส้นทางการขี่จักรยานตามแผนที่ และแจ้งว่าทุกจุดตามหน้าผาและน้ำตก จะมีลานให้จอดจักรยานและมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลจักรยานให้ ในส่วนบริเวณน้ำตกทั้งหมด จะไม่มีร้านอาหาร ถ้าจะเดินทางไปควรที่จะพกอาหารกลางวันไปด้วย สำหรับทุกหน้าผา จะมีร้านจำหน่ายอาหารและห้องน้ำไว้บริการ ก่อนจะเดินทางให้ไปเรียนวิธีการเปลี่ยนเกียร์ และการบังคับจักรยานให้เคยชินก่อน บนจักรยานทุกคันจะมีเบอร์โทรไว้ให้ติดต่อสำหรับกรณีฉุกเฉิน


                   เราเดินทางไปที่น้ำตกถ้ำใหญ่ สระอโนดาด แล้วจึงแวะมาพักทานข้าวกลางวันที่ นั่งกินข้าวเหนียวหมูฝอยที่ซื้อมาตอนเช้า บนโขดหินที่ผานาน้อย ชมวิวทิวทัศน์ สูดอากาศสดชื่น จากนั้นพวกเราวางแผนที่จะขี่จักรยานมุ่งหน้าไปยังผาหล่มสักก่อนเลย แล้วค่อยวนมาเก็บผาอื่นๆ สุดท้ายมาดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก เพื่อที่ขากลับจะได้ไม่ต้องขี่จักรยานกลับที่พักกันระยะทางไกลในช่วงกลางคืน ระหว่างที่ขี่จักรยานถึงจะมีเกียร์ แต่เวลาขี่ขึ้นเนินต้องใช้กำลังค่อนข้างมาก หลายครั้งที่เราต้องจอดแล้วเข็นจักรยานขึ้นเนินแทนการขี่ จนในที่สุดเราก็มาถึงผาหล่มสัก


                  จากนั้นฝนก็ตกหนักลงมาเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด กระทั่งเวลาบ่าย 4 โมง พวกเราต้องตัดสินใจซื้อเสื้อกันฝน ใส่ขี่จักรยานมุ่งหน้ากลับที่พัก จุดนี้เจ้าหน้าที่จะทำการแจกไฟฉายที่คาดตรงหัว ไว้ใช้ดูทางในเวลากลางคืน ตลอดระยะทางพื้นเริ่มแฉะ มีแอ่งโคลนมากมาย หลายครั้งที่เสียหลัก ล้อปัด โชคดีที่เป็นล้อใหญ่ เลยยังพอทรงตัวไปต่อได้ ตามทางแยกจะมีป้ายบอกเส้นทางไปยังจุดต่างๆ จนกลับมาถึงศูนย์ฯวังกวางในเวลาประมาณเกือบ 6 โมงเย็น 


                เช้าวันรุ่งขึ้นของการเดินทางกลับ สิ่งแรกที่ควรทำคือ เก็บสัมภาระแล้วเอามาส่งลงทะเบียนแจ้งลูกหาบในเวลาประมาณ 7 โมงเช้า เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องรอสัมภาระนาน หลังจากเดินขึ้นมาระยะทาง 9 กิโลเมตรในวันแรก เดินวันที่สอง 5 กิโลเมตร + ขี่จักรยาน 22 กิโลเมตร ทำให้ขาเราเริ่มสั่งการไม่ค่อยได้ ด้วยฝนตกเมื่อวาน ทำให้พื้นหินและทางลง ค่อนข้างลื่นหลายจุด แต่ถึงจะใช้ความระมัดระวัง เราเริ่มเดินลงเวลา 8 โมงเช้า ลงมาถึงด้านล่างเวลา 11.30 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม