สถานที่สำหรับกางเต็นท์นอนใกล้กรุงเทพฯ ที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงกันในหมู่นักท่องเที่ยวเชิงนิเวศ คงไม่พ้นที่แห่งนี้ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศเจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียงประมาณ 150 กิโลเมตร หรือใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ เราก็จะได้สัมผัสถึงอากาศบริสุทธิ์ ต้นไม้เขียวขจี และเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ทั้งพันธ์ุไม้ เห็ด และผีเสื้อ
เมื่อมาถึงทางเข้าศูนย์ศึกษาธรรมชาติ เราจะพบกับป้อมทหารเล็กๆ พร้อมที่กั้น ให้เราแจ้งว่ามาเพื่อพักกางเต็นท์หรือท่องเที่ยว จากนั้นเจ้าหน้าที่จะแนะนำว่าให้ใช้ความระมัดระวังในการขับขึ้นไปบนเขา เนื่องจากเป็นทางรถสวนค่อนข้างแคบและลาดชัน ระหว่างทางที่ขับขึ้น โปรดใช้ความระมัดระวังจักรยานด้วยนะครับ เพราะมีหลายท่านขี่จักรยานขึ้น-ลง ขับตามทางประมาณ 2 กิโลเมตร เราก็จะพบกับทีตั้งของสำนักงานส่วนกลาง ซึ่งเราจะต้องมาทำการลงทะเบียน แจ้งความประสงค์ในการมาเข้าพัก ว่ามาเพื่อพักผ่อน สังสรรค์ ทัศนศึกษา ประชุม หรือต้องการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
เพื่อความปลอดภัย จะทำการขอถ่ายสำเนาบัตรประชาชน สำหรับการลงทะเบียน และให้แจ้งเลขทะเบียนรถ พร้อมทั้งจำนวนผู้มาท่องเที่ยว รวมถึงจำนวนเต็นท์ที่จะนำมากางสำหรับพัก หลังจากกรอกรายละเอียดเป็นที่เรียบร้อย ทางเจ้าหน้าที่ จะมีใบเอกสารให้กรอกร่วมบริจาคเงินสมทบงบประมาณให้กับทางศูนย์ศึกษาธรรมชาติ ตรงนี้แล้วแต่ศรัทธานะครับ ว่าต้องการช่วงเหลือศูนย์ศึกษาธรรมชาติสักเท่าไร
ปริมาณเต็นท์กางกันค่อนข้างหน้าแน่น บริเวณริมบึงน้ำ |
หลังจากลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อย เราก็จะทำการเลื่อนรถไปจอดในที่จอดรถ จากที่จอดรถเดินมาเพียงไม่ถึง 100 เมตร เราก็จะถึงสถานที่สำหรับกางเต็นท์ ตรงนี้เราสามารถเลือกได้ตามใจชอบ ว่าอยากได้จะได้ใกล้กับอะไร เช่นใกล้กับห้องน้ำ เพื่อความสะดวกสบายในการเข้าห้องน้ำ หรือต้องการใกล้กับศาลาล้างทำความสะอาด ที่นี่มีบริการ ห้องน้ำพร้อมฝักบัวอาบน้ำ โดยแยก ชาย-หญิง และมีบริการ ศาลาที่ตั้งสำหรับก๊อกน้ำ และอ่างล้างจาน ไว้ทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ
จุดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมกางเต็นท์กันหนาแน่น จะเป็นบริเวณรอบบึงน้ำ ที่จะมีอากาศเย็นในช่วงกลางคืน และได้ชมทิวทัศน์สวยงามกว่าจุดอื่น ช่วงนี้มีหมอกทั้งในตอนเช้าและช่วงเย็น เพราะยังคงมีฝนตกบ้างประปราย บางท่านต้องการกางผ้าใบสำหรับกันน้ำค้าง โดยอาศัยต้นไม้ในการผูกเชือก ก็จะเลือกเขยิบเข้ามาในโซนต้นไม้
ถ้ามากันเป็นหมู่คณะ นิยมที่จะกางเต็นท์หันหน้าล้อมวงเข้าหากัน เว้นส่วนกลางไว้สำหรับประกอบอาหารทานร่วมกัน ก็เป็นความสนุกสนาน และได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ที่นี่อนุญาติให้จุดไฟได้ แต่ต้องมีเตาหรือถาดวางรองไว้ด้านล่าง เพื่อความปลอดภัยของทุกท่าน และไม่เป็นการทำลายธรรมชาตินะครับ
พวกเรามาถึงก็ในเวลาประมาณเกือบห้าโมงเย็น เหลือสถานที่ว่างให้เลือกกางเต็นท์อยู่ไม่มาก จึงรีบหยิบเต็นท์และออกเดินหาสถานที่ ทำให้ไม่มีเวลามาถ่ายรูปบรรยากาศ ในการเลือกที่สำหรับกางเต็นท์ อย่าลืมตรวจสอบพื้นดินด้วยนะครับ ว่าไม่มีก้อนหิน หรือรากไม้ และถ้าเลือกกางในจุดที่ลาดเอียง อาจจะลำบากเวลาในการนอนสักหน่อย ถึงจะปูผ้าและถุงนอนแล้ว แต่ร่างกายจะไหลไปตามทางลาดครับ
เนื่องด้วยทริปนี้เรามาพร้อมกับเด็กเล็กอายุ 5 ปี และเด็กเล็กมากอายุเพียง 1 ปี ไม่ถึงเดือน ทำให้เราเลือกที่จะนอนใกล้กับบริเวณทางเดินที่ลาดด้วยคอนกรีต มีเสาไฟตั้งไว้ส่องแสงในกลางคืน เพื่อประหยัดการใช้ไฟจากตะเกียง หลังจากกางเต็นท์ ปูถุงนอน หอบอุปกรณ์ต่างๆ มาเรียบร้อย ก็ถึงเวลาทานอาหาร
เริ่มจาก วางหมูย่าง |
เริ่มทำการย่าง |
ปิดท้ายด้วย มาม่า หมูปิ้ง |
หลังทานอาหารเสร็จ เราก็เอนหลัง มองบนท้องฟ้า เวลาประมาณสามทุ่มเป็นต้นไป ก็จะเริ่มมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้า ถ้าท่านมีเสื่ออยากขอแนะนำให้ปู แล้วนอนมองดาว อากาศในช่วงฟ้ามืดที่นี่จะค่อยๆเย็นขึ้นไปเรื่อยๆนะครับ ควรพกเสื้อหนาวมาด้วย เนื่องด้วยเด็กเล็กมากผู้ร่วมทริปกับเราในวันนี้ เริ่มงอแง ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่สบายตัว ทำให้เราไปทำการเปิดห้องพักสำหรับครอบครัวเด็กเล็กครับ
ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ มีให้บริการทั้งแบบบ้านพักเป็นหลัง และห้องพักติดแอร์ มีบริการปลั๊กไฟ และน้ำอุ่น แต่ไม่่มีทีวี ตู้เย็นนะครับ นับเป็นโชคดีของพวกเรา ที่มีคนจองแล้วไม่มา ทำให้มีห้องว่างสำหรับพวกเราพอดี 1 ห้อง ในราคา คืนละ 800 บาท
ด้วยอากาศที่เย็นสบาย ใกล้ชิดกับธรรมชาติ บวกกับความเหนื่อย และอิ่มจากอาหารที่ทานไปเป็นจำนวนมาก ทำให้เราหลับสบาย และตื่นขึ้นมาในเวลาประมาณ ตีห้ากว่า บรรยากาศในยามเช้า ยังคงค่อนข้างเย็นสบายไปทางหนาวเล็กน้อย
บรรยากาศช่วงเช้า |
หลายเต็นท์ยังคงเงียบสงบ |
แสงเริ่มสว่าง ก็เริ่มออกมาประกอบอาหารเช้ากัน |
หมอกจางๆในช่วงเช้า |
บรรยากาศริมบึงน้ำในตอนเช้า |
หลายคนเริ่มเตรียมเก็บข้าวของ |
เริ่มทะยอยอุ่นอาหาร ที่เหลือจากเมื่อคืน |
ช่วงกลางคืนของที่นี่ อากาศค่อนข้างเย็นสบายนะครับ ทำให้อาหารไม่เสีย ถ้านำอาหารมาเยอะแล้วไม่เหลือน้ำแข็งสำหรับแช่ของสด แนะนำให้ย่างให้สุก วางไว้ข้างนอกเต็นท์ได้ครับ แต่ควรจะมีอะไรปิดให้มิดชิด แล้วในตอนเช้า สามารถนำมาอุ่นสำหรับทานเป็นมื้อเช้าต่อได้ คนส่วนใหญ่จะเริ่มเก็บเต็นท์กันประมาณ 8-10 โมงเช้า สถานที่ก็เริ่มจะว่าง โล่งแล้วครับ
ศูนย์ศึกษาธรรมชาติฯ แห่งนี้ มีบริการร้านค้าสวัสดิการนะครับ แต่ทีนี่ไม่มีจำหน่ายอาหารสด และอาจจะมีเครื่องปรุงขายเพียงไม่กี่อย่างนะครับ ทางทีี่ดี ควรจะเตรียมมาให้พร้อมจากบ้านนะครับ ที่ร้านสวัสดิการ จะมีจำหน่าย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วย ขนมถุง จาน-ชาม กระดาษ/ตะเกียบ/ช้อน-ส้อมพลาสติก น้ำแข็ง ถ่าน เครื่องดื่ม ไม่มีจำหน่ายแอลกอฮอล์ทุกชนิด และมีบริการให้เช่าเตา เสื่อ ผ้าห่ม สำหรับเต็นท์และถุงนอนไม่แน่ใจนะครับว่า ยังมีบริการให้เช่าไหม
สำหรับวันเสาร์ จะมีขายอาหารด้วยนะครับ อยู่ทางด้านหลังของร้านค้าสวัสดิการ ถ้าท่านใดไม่อยากติดเตาประกอบอาหารเอง สามารถซื้อทานได้ ที่นี่อนุญาติให้นำเตาแก๊สปิคนิคมาใช้ได้นะครับ เรียกว่าเปิดโอกาสให้เราประกอบอาหารเองได้หลากหลายวิธี แต่ที่นี่ไม่มีปลั๊กไฟบริการนะครับ ควรเตรียมพาวเวอร์แบงค์มาไว้สำหรับชารจ์แบตเตอรี่มือถือ หลายจุดไฟตามทางบริการไม่ทั่วถึง ทางที่ดีควรจะนำตะเกียง หรือไฟฉายมาใช้ด้วยครับ
ในวันที่เรากำลังจะกลับ เนื่องด้วยเกิดเหตุการณ์มีรถยนต์ จำนวน 13 คัน โดนงัดกระจกมองข้างออก และหักกระจกมองข้างกลับไปอีกทาง ทำให้เกิดความเสียหาย และเป็นอันตรายต่อการเดินทาง เจ้าหน้าที่ผู้ดูแล ทำการแปะกระดาษที่รถทุกคันที่มีความเสียหาย ว่าไม่ให้เคลื่อนย้าย เพราะได้ทำการติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและกองพิสูจน์หลักฐานไว้แล้ว เจ้าหน้าที่ทำการกั้นไม้ให้มีการนำรถและคนออกจากบริเวณศูนย์ เนื่องด้วยมีกล้องวงจรปิด สามารถจับภาพคนร้ายไว้ได้
จากประสพการณ์การกางเต็นท์นอนที่ศูนย์แห่งนี้มาหลายครั้ง ต้องขอบอกว่า ที่แห่งนี้ค่อนข้างปลอดภัยเป็นอย่างมากนะครับ คนส่วนใหญ่ที่มา มีมารยาทไม่ยุ่งสิ่งของที่ไม่ใช่ของตัวเอง เรียกว่า ถ้ามีการวางเต็นท์ หรือวางข้าวของไว้ จะไม่มีใครมายุ่ง หรือมารื้อค้น วางกล่องโฟม ถุงใส่ของไว้ตรงไหน ผ่านไปกี่ชั่วโมง ก็ยังคงอยู่ตรงที่เดิมครับ สำหรับเวลากลางคืน ถ้าเราเดินวนไปวนมา จุดเดิม เนื่องด้วยหลงทาง หรือไม่ว่าเหตุอะไร จะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาสอบถาม และช่วยนำเราไปยังจุดที่ต้องการ
เนื่องด้วยเราไปทริปนี้ มีเด็กเล็กและเด็กเล็กมาก ทำให้เราไม่ได้เดินเข้าไปสำรวจในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งจะมีทั้งส่วนที่สำหรับขี่จักรยาน และเส้นทางเดินเท้าไปยังน้ำตกหลายแห่ง ระยะทางใกล้สุดประมาณ 1 กิโลเมตรนิดหน่อย ถ้าท่านใดต้องการพักร่างกาย พักสมองจากความเหนื่อยล้า ขอแนะนำให้มาพักสัมผัสธรรมชาติ กลับคืนสู่วิถีเรียบง่าย ไม่รีบร้อน ติดเตาถ่าน ทำอาหาร อยู่แบบปราศจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิค และมือถือบางเครือข่ายก็ไม่มีสัญญาณด้วยนะครับ เรียกว่าได้พักผ่อน ฟอกปอดให้เต็มที่ เติมพลัง ก่อนกลับไปผจญกับมลพิษและความเร่งรีบของการใช้ชีิวิตในการทำงานครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น