วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Shakariki สาขา Esplanade รัชดาภิเษก

                  ร้านอาหารญี่ปุ่น Shakariki สไตล์โอซาก้า สาขาที่เราไปทานกันในวันนี้คือ สาขาชั้นใต้ดิน ที่เอสพานาด รัชดาภิเษก ถึงเราจะเดินผ่านร้านนี้มาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยเข้าไปลองทานเลยสักครั้ง ด้วยบรรยากาศหน้าร้าน และภายในร้านออกแนวมืดๆสักหน่อย ดูแล้วไม่อยากลองเข้าไปเสี่ยง แต่ด้วยมิสเตอร์ทีบอกว่า เคยไปทานร้านนี้ที่สาขาทองหล่อมาแล้ว อร่อยดี พวกเราจึงตัดสินใจเข้าไปลองทานกันครับ

                  เราไปถึงร้านในเวลาประมาณบ่ายโมงนิดหน่อย ภายในร้านพวกเราเป็นลูกค้าโต๊ะแรก อากาศภายในร้านไม่ค่อยเย็นครับ เมื่อเทียบกับอากาศด้านนอก เรียกว่าถ้าเป็นคนชอบอากาศเย็นๆ เข้ามาทานอาจจะมีหงุดหงิด หรือไม่อร่อยได้ครับ เมื่อเลือกโต๊ะนั่งเป็นที่เรียบร้อย น้องพนักงานก็นำเมนูมาวางให้เราทำการเลือกสั่งอาหารกันครับ โดยทางร้านจะมีเมนูแบบปกติ และเมนู Lunch set ซึ่งก็จะเป็นรายการอาหารที่ราคาปกติ แต่จะมีแถมน้ำซุปมิโสะ กับแตงกวาดองมาให้ครับ


ชาร้อน

ชาร้อน และกาน้ำชา

ชาเย็น

                  สำหรับเครื่องดื่มพวกเราเลือกเป็นชาเขียวร้อนและเย็นครับ มิสเตอร์ทีบอกว่า ที่สาขาทองหล่อ ชาที่เสริฟ์จะเป็นชา Pokka ครับ แต่สำหรับที่นี่ ไม่แน่ใจว่าเป็นชาอะไร แต่รสชาติคล้ายชาข้าวแต่แอบมีสัมผัสเหมือนกาแฟเล็กน้อย

                             ระหว่างรออาหารมาเสริฟ์ เราก็มองป้ายที่ติดตามกำแพงร้าน ซึ่งมีจำนวนค่อนข้างมากเลยครับ เท่าที่สังเกต ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูอาหาร กับรายการราคาของที่ระลึกจากทางร้าน จะมีสะดุดตาตรงป้ายบุฟเฟ่ต์ครับ ทางร้านมีจำหน่ายบุฟเฟ่ต์ เดือนละครั้ง โดยแต่ละเดือนจะมีการแจ้งล่วงหน้าว่าเป็นวันไหน แปลว่าวันที่มีบุฟเฟ่ต์ไม่ใช่วันเดิมของทุกเดือนนะครับ


รายการบุฟเฟต์

                     สำหรับเดือนนี้จะมีบุฟเฟ่ต์ในวันที่ 27 สิงหาคม 2562 ครับ โดยมีแค่ 2 รอบ ในเวลารอบละ 90 นาที เริ่มเวลา 18.00 น. และรอบสองในเวลา 19.45 น. ราคาก็มีแจ้งไว้พร้อมครับ สำหรับรายการอาหารที่สั่งได้ เท่าที่ดูมีจำนวนรายการอาหารไม่ค่อยมากครับ ปลาดิบมีแค่ แซลมอนอย่างเดียวครับ

                     บนโต๊ะก็จะมีจาน ตะเกียบ ผ้าเช็ดมือ วางไว้บริการ พร้อมเครื่องปรุงต่างๆ โดยโชยุ ทางร้านจะเทใส่ถ้วย นำมาเสริฟ์ให้ที่โต๊ะ ตามจำนวนลูกค้าครับ ที่สะดุดตาก็จะเป็นกล่องทิชชู่หน้าโมอาย ดูน่ารักมาก หยิบทิชชู่ออกมาจากทางรูจมูก


อุปกรณ์นการทานอาหาร

กล่องทิชชู่หน้าโมอาย

โชยุ

                      หลังจากรอประมาณ 10กว่านาที อาหารก็เริ่มทะยอยออกมาเสริฟ์ครับ ระหว่างที่ทำการเสริฟ์อาหารโต๊ะเรา ก็มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอีกโต๊ะพอดีครับ


ครีบปลากระเบนย่าง

ซูชิหน้าต่างๆ

ซูชิอิกะ(ปลาหมึก)กับแซลมอนอาบูริ

ซูชิโทโร่

ซูชิแซลมอนอาบูริ

ข้าวหน้าไก่ใส่ไข่

แซลมอนซูชิเซ็ท

แตงกวาดอง

ข้าวห่อสาหร่ายแซลมอน

ซุปมิโสะ

ปลาหมึกย่าง

น้ำจิ้มซีฟู้ด

ข้าวหน้าปลาดิบรวม Kaisen Chirashi
ซูชิซาบะ

ยากิโตริเซ็ท 5 ไม้

ปลาซาบะย่างซีอิ๊ว

ซูชิหน้าปลาหมึก

                  สำหรับรสชาติอาหารตามความเห็นส่วนตัวของครอบครัวเรานะครับ เริ่มจากครีบปลากะเบนย่าง รสชาติกรุบๆอร่อยดีครับ ละม้ายคล้ายกับปลาริวกิวย่างเลย ทานแล้วเพลิน สมกับเป็นของทางเล่นอย่างมาก ทานคู่กับแอลกอฮอล์จะยิ่งเพิ่มความอร่อย

                    ซูชิหน้าต่างๆ ทางร้านทำออกมาไม่ได้เป็นคำใหญ่มาก ปริมาณข้าวไม่ค่อยอัดแน่นเท่าไร ส่วนรสชาติข้าว มิสเตอร์ทีบอกว่าอร่อยดี เหนียว หนึบ แต่สำหรับแฟน บอกว่าไม่ค่อยอร่อยสักเท่าไร พอทานได้ ความสดของปลาก็อยู่ในระดับปกติดีครับ ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าไม่สด

                       มีเพียงปลาหมึกที่มิสเตอร์ทีรู้สึกประทับใจมาก จนต้องทำการสั่งเพิ่มอีก 6 คำ ในตอนหลัง ส่วนแฟนสั่งจานหลักเป็นแซลมอนซูชิเซ็ท รสชาติปกติดีครับ เนื้อปลาก็ให้มาชิ้นใหญ่พอสมควร ที่ถูกใจแฟนเป็นอย่างมาก คือวาซาบิครับ ที่นี่ใช้วาซาบิอย่างดี เข้มข้น ทานแล้วมีน้ำตาซึมแบบสะใจเลยครับ

                     สำหรับท่านแม่ผู้ไม่ทานของดิบ ของสด จานหลักเป็นข้าวหน้าไก่ใส่ไข่ ปริมาณข้าวที่ให้มาค่อนข้างมากพอสมควร เมื่อเทียบกับปริมาณไก่ในชาม ต้องบอกว่า อาจจะน้อยไปสักหน่อย ส่วนรสชาติ น้ำราดค่อนข้างเค็มโดดเลยครับ ทานแล้วไม่ค่อยประทับใจ แตงกวาดองก็เค็มมากครับ โชคดีที่ซุปมิโสะมาแบบจืดหน่อย ไม่เค็มไปกับเค้าด้วยครับ

                     ต่อด้วยจานหลักของเรานั่นก็คือ ข้าวหน้าปลาดิบรวม อันนี้เรียกว่ามาแบบข้าวกำลังดีกับปริมาณปลาดิบในเบนโตะ (กล่องข้าว) รสชาติอร่อยดีครับ เนื้อปลาสด หั่นมาชิ้นไม่ได้เล็กจนเป็นเศษเนื้อปลา ถ้าเป็นคนปกติทั่วไป ทาน 1 กล่องน่าจะอิ่มพอดีครับ

                         ยากิโตริย่าง 5 ไม้ เป็นเมนูที่น้องพนักงานแจ้งว่า ส่วนของเนื้อไก่ที่ได้ ทางเชฟจะทำการสุ่มเลือกมาให้เอง เราไม่สามารถระบุได้ว่า ต้องการส่วนไหนของไก่ ในวันนี้เราได้เนื้อไก่ช่วงที่ค่อนข้างชืดไปหน่อย น่าจะเป็นแถวๆอก ไม่ค่อยมันเลยครับ, เป็นกึ๋นไก่ 1 ไม้ ตรงนี้ย่างออกมาพอทานได้ครับ ไม่เหนียวจนเคี้ยวปวดกราม, เป็นหัวใจไก่ 1 ไม้ ย่างออกมาได้แห้งมาก กัดไม่เข้าครับ นึกว่ากำลังทานปลาหมึกแห้งย่างอยู่ เพราะเหนียวจริงๆ, ปีกกลาง 1 ไม้ ย่างออกมาหนังด้านนอกกรอบๆนิดหน่อย แต่เนื้อด้านในก็แห้งอีกเช่นเดิม สุดท้ายคล้ายๆกับลูกชิ้นไก่ แต่คือเนื้อไก่สับใส่ต้นหอม ขิงและกระเทียม แล้วปั้นเป็นก้อน รสชาติแปลกๆดีครับ ทานได้

                         ปลาหมึกย่าง ย่างออกมาได้แห้งอีกเช่นเดิมครับ สำหรับคนที่ชอบแบบแห้งๆ น่าจะถูกใจครับ มีน้ำจิ้มซีฟู้ดรสชาติเข้มข้น มาให้ทานด้วยครับ หนวดหมึกกรุบกรอบเลยครับ เพราะย่างมาแบบแห้ง ส่วนปลาซาบะย่างซีอิ๊ว ก็ยังคงคอนเซปแห้งเช่นเดิม สำหรับส่วนตัวผมเป็นคนชอบทานของย่างแบบฉ่ำๆ เนื้อนุ่มๆ ทำให้ไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไรครับ

                       สรุปนะครับ ความคุ้มค่าถ้าเทียบปริมาณอาหารกับคุณภาพอาหารที่ได้รับ โดยส่วนตัวรู้สึกว่าค่อนข้างแพงไปสักหน่อย น้ำชาและซุปมิโสะไม่ร้อนเลยครับ มาแบบอุ่นน้อยๆ หรือจะเรียกว่าอุณหภูมิปกติก็ว่าได้ครับ แอร์ภายในร้านไม่ค่อยเย็นครับ ที่ถูกใจมีแต่มิสเตอร์ทีคนเดียว ทางร้านมีให้สะสมแต้ม ทานครบทุก 1,000 บาท จะได้ 1 แต้ม โดย 10 แต้มใช้เป็นส่วนลดได้ 100 บาท หรือสะสมต่อ จนครบ 50 แต้ม จะได้บัตรส่วนลดของทางร้านครับ สำหรับผม แฟน และท่านแม่ ครั้งนี้ครั้งเดียวครับสำหรับร้านนี้ เพราะไม่ใช่ทางของเรา ราคาแบบทานไม่ค่อยอิ่ม หารเฉลี่ยต่อคนแล้วอยู่ที่ 639.25 บาท ไปทานบุฟเฟ่ต์ร้านอื่นคุ้มกว่ามากครับ


บิลค่าเสียหาย

วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ก๋วยเตี๋ยวตรอกโรงหมู และ ขนมหวาน เซ็งซิมอี้ แป้งกลมอารมณ์ดี

                      ด้วยวันแม่ที่ผ่านมา เราพาแม่ไปกราบสักการะพระทองและทำสังฆทานกันที่วัดไตรมิตร หลังจากเสร็จพิธีทางศาสนา ก็มุ่งหน้าไปกันต่อที่ตรอกโรงหมูุ เพื่อหาอะไรทานกันครับ เริ่มจากแดงราชาหอยทอด คนในร้านค่อนข้างเยอะ ทำให้ไม่สะดวกในการถ่ายรูปสักเท่าไร เมนูหอยทอดใช้เวลาในการรอค่อนข้างนาน ระหว่างรอขอแนะนำให้สั่งก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่มาทานครับ รสชาติอร่อยมากๆ ผัดออกมาแบบแห้งกำลังดี ไม่มัน และเก๊กฮวย รสชาติอร่อย ไม่หวานจนเกินไป ยิ่งทานยิ่งเพลิน

                          แดงราชาหอยทอด รสชาติแป้งจะกรอบ หอมกลิ่นกะทะ สำหรับหอยแมลงภู่ อาจจะได้หอยตัวไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่เล็กจนน่าเกลียด ทานแล้วก็อร่อยดีครับ จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปกันที่ร้านหมูสเต๊ะช่องกี่ ภายในร้านก็ยังคงมีลูกค้าค่อนข้างหนาตา ไม่สะดวกในการถ่ายรูปอีกเช่นกัน ในร้านช่วงนี้มีเมนูน้ำผึ้งมะนาวแสนอร่อย และมีจำหน่ายมะนาวสด ในราคาถุงละ 60 บาท/กิโลกรัม ด้วยครับ

                         หมูสะเต๊ะและตับย่างจะขายขั้นต่ำ 10 ไม้นะครับ รสชาติหมูสะเต๊ะร้านนี้จะออกแนวชุ่มฉ่ำ ไม่แห้ง เหมาะสำหรับคนชอบทานแบบมันๆ และตับก็เช่นกัน ไม่ได้มาแบบแห้งๆนะครับ มีสัมผัสนุ่มๆในปาก ถ้าเป็นคนชอบตับแห้งๆ อาจจะไม่โดนเท่าไรครับ โดยถ้าเราต้องการทานข้าวหมูแดงสีมรกต ร้านข้างๆกัน สามารถเดินไปสั่งแล้วให้น้องพนักงานยกมาเสริฟ์ที่ร้านหมูสะเต๊ะ พร้อมชำระเงินรวมกับค่าหมูสะเต๊ะได้เลยด้วยครับ สะดวกสบายสุดๆ

                         โดยระหว่างทานหมูสะเต๊ะ เราก็เดินไปจองคิวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวตรอกโรงหมูกันก่อนครับ โดยจะมีบัตรคิวอยู่หน้าร้าน ให้ทำการเขียนรายการอาหาร จากนั้นไปชำระเงินกับน้องที่นั่งอยู่หน้าร้าน แล้วแจ้งว่า เดี๋ยวจะกลับมาทานครับ เพราะสอบถามกับน้องแล้วว่าใช้เวลาประมาณ 20 นาทีครับ




                    หลังจากทานหมูสะเต๊ะหมด เราก็ทำการย้ายร้านกันครับ โดยแบ่งคนที่ไม่ทานก๋วยเตี๋ยวไปนั่งทานน้ำแข็งไสฝั่งตรงข้ามร้านก๋วยเตี๋ยวกันก่อนเลย เมื่อมาถึงภายในร้าน ประมาณ 2 นาที ก็ถึงคิวพวกเราพอดีครับ


บะหมี่แห้งต้มยำ

เส้นเล็กต้มยำ

เกี๊ยวทอดแห้งยำ

                        ทั้ง 3 ชาม เป็นต้มยำกันหมดนะครับ ทั้งแบบแห้งและแบบน้ำ หลังจากทานกันแล้ว ท่านแม่ชื่นชอบในเกี๊ยวทอดค่อนข้างมากครับ ตัวเกี๊ยวทอดมารสชาติกำลังดี ด้านในมีหมูสับอัดแน่นอยู่พอสมควร รสชาติยำก็อร่อยดีครับ ไม่ต้องปรุงเพิ่มแต่อย่างใด แต่เมื่อทานสักประมาณ 3-4 คำ จะเริ่มรู้สึกว่าเค็มครับ รสชาติเค็มค่อยๆออกมาเรื่อยๆ บะหมี่ทางร้านใช้เป็นแบบบะหมี่เส้นแบน รสชาติเหนียวนุ่ม ลวกมาได้กำลังดี ส่วนหมูสับ ปกติแฟนจะชื่นชอบมาก แต่วันนี้กลับบอกว่า หมูสับไม่ค่อยอร่อย ออกแนวด้านๆ แต่ชอบเต้าหู้ทอดที่ใส่มามากกว่า ทอดออกมากรุบกรอบกำลังดี 

                      ราคา 3 ชาม 160 บาท เมื่อเทียบราคากับคุณภาพอาหารและปริมาณที่ได้รับ ก็ถือว่ารับได้นะครับ ความคุ้มค่าอยู่ในระดับที่ไม่แพงจนเกินไป และที่หน้าร้านจะมีไลน์แมน พนักงานสั่งซื้ออาหารจำนวนมากยืนรอกันอยู่ที่หน้าร้านครับ

                        หลังจากทานก๋วยเตี๋ยวเสร็จ ต่อไปเราก็เดินข้ามฝั่งถนนไปยังร้านน้ำแข็งไส เซ็งซิมอี้ แป้งกลมอารมณ์ดี ด้วยร้านนี้ไม่ใช่ร้านแฟรนไชส์ที่มีหลายสาขาแต่อย่างใดนะครับ ปกติเราทานร้านนี้ในช่วงตอนกลางคืน ที่ปากซอยอีกฝั่ง แต่ปัจจุบันได้ย้ายมาเปิดที่ข้างๆร้านสีมรกตเป็นที่เรียบร้อย โดยในช่วงกลางวันจะเปิดขายในร้าน เวลา 11-16.00 น. เวลากลางคืน 20.00-22.000 จะกลับไปขายที่เดิม 

                      





                   






                   สำหรับการสั่งขนม สามารถไปยืนสั่งพร้อมดูรายการขนมหวานที่หน้าร้าน หรือจะสั่งที่โต๊ะก็ได้นะครับ ด้านหน้าร้านจะมีโถน้ำชา พร้อมแก้วพลาสติก วางไว้ให้บริการตัวเอง หลังจากสั่งขนมหวานแล้ว ใช้เวลาไม่นานครับ น้องพนักงานก็ยกมาเสริฟ์ที่โต๊ะ










                      ทางร้านมีให้บริการทั้งน้ำกะทิ น้ำลำไย น้ำเชื่อม และน้ำแดงครับ รสชาติหวานกำลังดี ถ้าชอบน้ำแข็งเยอะๆ สามารถขอเพิ่มเติมได้ด้วยนะครับ รสชาติขนมหวานอร่อยมากๆ โดยเฉพาะแป้งกลม หนึบกำลังดี เคี้ยวแล้วเพลินสุดๆ ทับทิมกรอบที่นี่ก็เช่นกันครับ แป้งที่เคลือบแห้วด้านนอก จะออกสีขุ่นนิดหน่อย แต่ความหนึบสุดยอดเลยครับ เคี้ยวแล้วให้สัมผัสที่อร่อยแตกต่างจากที่อืีนมากๆ

                       ฟักทอง และมันเชื่อมก็หนึบกำลังดี อร่อย ยิ่งทานยิ่งเพลินครับ ทางร้านก็มีทำแบบร้อนให้ด้วยนะครับ ทุกรายการเมนู สามารถสั่งแบบร้อนได้ รวมถึงน้ำกะทิก็เช่นกัน โดยทางร้านจะใส่น้ำร้อนแทนน้ำแข็งให้ ก็แปลกไปอีกแบบ แต่ความอร่อยยังคงเดิม มีโอกาสขอแนะนำให้มาทานขนมหวานร้านนี้กันครับ ความคุ้มค่าต้องขอบอกว่า คุ้มเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับราคาและปริมาณขนมที่ได้รับครับ

204 Bistro โรงแรม Swissotel

                    โรงแรม Swissotel ที่รัชดา มีห้องอาหารทั้งหมด 3 ห้อง คือ ห้องอาหารญี่ปุ่นทาคุมิ ซึ่งเราก็เคยมาทานแล้ว ทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น ห้องอาหารจีน หลงฟ่ง ที่เพิ่งทำการรีวิวมาเมื่อไม่นาน ช่วงนี้มีเทศกาลหอยนางรมสด เป็ดปักกิ่ง และหมูหัน สุดท้ายคือห้องอาหารนานาชาติ 204 Bistro ตั้งอยู่ที่ชั้น G ฝั่งตรงข้ามกับห้องอาหารทาคุมิ

                     เราได้ทำการโทรมาจองและสอบถามว่า มีเมนูปูอลาสก้าหรือเปล่า ด้วยทราบมาว่าไม่ได้มีในทุกวัน ทุกวันพฤมื้อเย็น จะมีแคนาเดียนลอปสเตอร์ บริการให้ลูกค้าท่านละครึ่งตัว สำหรับมื้อเย็นวันศุกร์และวันเสาร์ จะมีเมนูปูอลาสก้า แต่ไม่มีเครื่องดื่มพิเศษ มื้อกลางวันวันอาทิตย์ จะมีเครื่องดื่มพิเศษทั้งคอกเทลและสปาร์คกิ้งไวน์ รวมถึงปูอลาสก้าให้บริการ ดังนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะมาทานกันในมื้อกลางวัน วันอาทิตย์ครับ

               สำหรับโปรโมชั่นนะครับ ช่วงนี้มีโปรร่วมกับบัตรเครดิตหลายธนาคาร โดยท่านแรก 1790++ ท่านที่ 2 ในราคา 100 บาท หรือสำหรับพวกเราใช้ Gift voucher ที่ซื้อจากในงานไทยเที่ยวไทยครับ โดยในราคาใบละ 890 บาท ซื้อจำนวน 10 ใบ แถม 1 ใบ สามารถใช้ได้กับทุกห้องอาหาร ทุกวัน ทุกรอบ ในโรงแรม Swissotel ด้วยห้องอาหารเปิดให้บริการในเวลา 11.30 น. พวกเรามาจึงมาถึงห้องอาหาร 204 Bistro กันในเวลา 11.35 น. ภายในห้องอาหารมีลูกค้ามาใช้บริการเกือบครึ่งห้องแล้ว พนักงานต้อนรับกำลังทำงานกันอย่างขมักขเม้น ในการรับลูกค้าไปส่งตามโต๊ะที่มีการจองไว้แล้ว

                     
ด้านหน้าห้องอาหาร

ทางเข้าไปยังส่วนห้องอาหาร

บรรยากาศด้านใน

โต๊ะของพวกเราในวันนี้

                    โชคดีครับที่เราได้โต๊ะแบบมีโซฟาด้วย ในตอนแรกลืมบอกน้องพนักงานตอนจองว่าขอแบบโซฟา ด้วยทางเรามีผู้สูงอายุ ทำให้ไม่ค่อยสะดวกสบาย ถ้าจะต้องนั่งทานแบบเก้าอี้ปกติ เมื่อทราบพิกัดโต๊ะแล้ว จะเห็นว่าบนโต๊ะมีไม้หนีบวางไว้ในแก้ว สำหรับใช้ไปสั่งอาหารตามเคาน์เตอร์ และจะมีน้ำเปล่าวางบริการไว้ให้บนโต๊ะพร้อม

                     จากตอนแรกที่ตั้งใจจะมาถ่ายไลน์อาหารทุกเมนู แต่ด้วยเวลาที่เรามาถึง มีลูกค้ามาใช้บริการค่อนข้างเยอะแล้ว เราจึงถ่ายเฉพาะไลน์ที่พอจะถ่ายได้ เพื่อไม่เป็นการรบกวนลูกค้าท่านอื่นครับ


โซนซีฟู้ดพร้อมทาน

โซนหอย

บาร์เครื่องดื่ม

ผลไม้สดสกัดเย็นและสปาร์คกิ้งไวน์

โซนอาหารญี่ปุ่น

โซนทะเลครก

พาสต้า

พิซซ่า

หอยนางรมอบชีส

บาบีคิวปิ้งย่างและซอสต่างๆ

เมนูอาหารเกาหลี

ข้าวยำเกาหลี

ไก่ผัดซอสเกาหลี

กุุ้งถัง

โซนสลัดบาร์

Cold cut โซนแฮมต่างๆ

แซลมอนสไลด์ ทั้งรมควัน ซีฟู้ดและซอส

โซนยำและผัดกุ้งถัง

โซนยำ

โซนก๋วยเตี๋ยว

                    หลังจากการเดินสำรวจทุกโซนแล้ว เราไม่เห็นปูอลาสก้าและฟัวกราครับ เมื่อสอบถามทางน้องพนักงานจึงทราบว่า เป็นรายการเมนูที่จะต้องยื่นไม้หนีบให้กับทางน้องพนักงาน แล้วจากนั้นถึงจะนำมาจัดใส่จานแล้วนำไปเสริฟ์ให้ที่โต๊ะครับ

                       
ปูอลาสสก้า

ทะเลถัง
เนื้อปูอลาสก้า

            ด้วยระหว่างการทาน ต้องใช้มือในการแกะเนื้อปูอลาสก้า กุ้ง และปูนึ่ง ให้ท่านแม่ทาน ทำให้ไม่สะดวกในการถ่ายภาพอาหารที่เราทำการตักมาทานได้สักเท่าไร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ที่อาจจะมีภาพอาหารไม่มาก

               ในส่วนของโซนเครื่องดื่ม จะมีบาร์เทนเดอร์คอยบริการทำคอกเทลให้แก้วต่อแก้ว และรินไวน์บริการให้กับลูกค้า โดยเราสามารถสั่งคอกเทลเป็นมอกเทล ไม่ใส่แอลกอฮอล์ได้นะครับ 


เมนูคอกเทล

KIR Royal

Bloody marry

Sky kamikaze

Bloody marry

               สำหรับการทานอาหารทะเล การมีแอลกอฮอล์จิบทานร่วมไปด้วย ก็ทำให้รสชาติอาหารอร่อยขึ้น และช่วยฆ่าเชื้อไปในตัวด้วยครับ หลังจากอาหารคาวกันแล้ว ต่อไปไปดูไลน์ขนมกันบ้างครับ


โซนวาฟเฟิลและเครป

ไอศครีม

น้ำแข็งไส

โซนฟองดู

ขนม

เผือกบวชชี

ชอกโกแลตมูสเค้ก

เยลลี่ฟรุตสลัด

ฟรุตเค้ก

เค้กชาเขียว



เค้กชอกโกแลต

พานาคอตต้า



ชอตเค้กต่างๆ


ข้าวเหนียวมะม่วง

เค้กแครอท

ทาร์ตผลไม้

              ขอสรุปรสชาติอาหารตามความเห็นส่วนตัวของครอบครัวเรานะครับ ขอเริ่มจากเนื้อปูอลาสก้า มีปนๆกันไปครับ ในช่วงแรกเนื้อปูยังคงหวาน อร่อย พอช่วงท้ายๆสักประมาณเกือบบ่ายโมง รสชาติเนื้อปูเริ่มออกเค็มแล้วครับ ส่วนชิ้นเนื้อก็มีปนๆกันไปครับ ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แกะง่ายบ้าง ยากบ้าง สามารถขอคีมหนีบปูกับทางน้องพนักงานได้นะครับ เพราะถึงจะมีการทุบมาให้บ้างแล้ว แต่บางชิ้นก็ยังคงแกะยากอยู่มาก ต้องอาศัยที่หนีบ ช่วยให้เปลือกปูแตกออกเพิ่มครับ

             ตามด้วยหอยนางรม จะมีให้บริการทั้งหอยนางรมจากเกาหลี และจากฝรั่งเศส โดยจากฝรั่งเศสจะยังคงปิดฝาอยู่นะครับ ต้องแจ้งให้น้องพนักงานทำการแกะให้สดๆ แล้วรอรับกลับมาที่โต๊ะหรือจะวางไม้หนีบให้นำมาเสริฟ์ตามทีหลังได้ครับ

             ไลน์อาหารซีฟู้ดทุกรายการ เราสามารถคีบแล้วนำไปให้น้องพนักงานปรุงเพิ่มได้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นหอยเชลส์ หอยแมงภู่ กุ้ง หรือว่าปู สามารถนำไปย่าง หรือผัดได้ครับ กว่าเราจะทราบตรงนี้ก็ทานแบบปกติไปค่อนข้างมาก ด้วยท่านแม่นิยมทานแบบสุกๆหน่อย พอเราถามพนักงานถึงได้ทราบเรื่องนี้ครับ

              Cold cut และแซลมอนสไลด์รสชาติต่างๆก็อร่อยปกติดีครับ โซนอาหารญี่ปุ่น ไม่ค่อยได้ไปตักสักเท่าไร แต่ก็ชิมแซลมอน ปูอัด ไข่หวาน ปลาทูน่า รสชาติก็ปกติดีครับ ด้วยตอนนี้ห้องอาหารจัดเทศกาลอาหารเกาหลี ทำให้มีข้าวยำ และอาหารเกาหลีอื่นๆ 

              ฟัวกราส์ ได้มาชิ้นไม่ค่อยใหญ่มากครับ เรียกว่าเสี้ยวๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเศษๆเหมือนเราไปทานอาหารญี่ปุ่นแล้วมีหน้าฟัวกราส์เพียงเศษๆ สำหรับรสชาติ มีทั้งใช้ได้ และเฉยๆครับ แต่ไม่ถึงกับอร่อย ด้วยฟัวกราส์มาแบบบางๆ ไม่ค่อยได้รับสัมผัสรสชาติเท่าใด ทานแล้วไม่ค่อยประทับใจครับ

                 โซนก๋วยเตี๋ยวน้ำได้น้ำซุปมาร้อนๆดีครับ วันที่ไปมีเป็นเย็นตาโฟ และสำหรับยำ สามารถระบุว่าใส่อะไรหรือไม่ใส่อะไรได้ แต่รสชาติยำออกมาค่อนข้างจืด ไม่เข้มข้นแบบยำไทย น่าจะเหมาะสำหรับคนต่างชาติ ส่วนกุ้งถัง หรือผัดทะเลรวม รสชาติก็จางๆครับ เหมือนจะเข้มข้น แต่ก็ไปไม่ถึง ทั้งสามอย่างนี้ ใช้ไม้หนีบนะครับ สั่งแล้วส่งไม้หนีบให้น้องพนักงาน สักพักถึงจะนำมาเสริฟ์ที่โต๊ะ

                ไลน์เครื่องดื่ม อันนี้ขอ Recommend ครับ ว่าควรค่าแก่การไปสั่งมาก ถ้าเราเป็นคนไม่ทานแอลกอฮอล์ ก็สามารถสั่งแบบ มอกเทล ไม่ใส่เหล้าได้ครับ โดยเฉพาะเมนู Sky kamikaze รสชาติดีงามมาก ทานแล้วสดชื่นกับความเปรี้ยว ที่ช่วยทำให้ตัดเลี่ยนจากอาหารรสชาติต่างๆ แต่ตรงนี้ถ้าเป็นคนไม่ทานแอลกอฮอล์เลย อาจจะต้องวัดดวงนิดนึงนะครับ ถ้าก่อนหน้าในแก้วเขย่ามีการใส่เหล้าวอดก้าลงไป ก็อาจจะทำให้แก้วของเรามีปนแอลกอฮอล์มานิดหน่อย เพราะท่านแม่โดนไป 1 แก้ว ร้อนวาบๆที่ลำคอทันที หลังจากที่อร่อยมา 2 แก้วแรก ที่ไม่มีปนเลย

                  ไลน์ขนมหวาน ค่อนข้างมีให้เลือกทานมากมาย ตามสไตล์ทั้งเค้ก พุดดิ้ง ผลไม้ ไอศครีม เครป วาฟเฟิล ขนมปังต่างๆ เยอะครับ แต่ที่ชอบมากที่สุดจะเป็นชีสเค้ก ความเข้มข้นของชีสอร่อยมาก ยิ่งทานคู่กับไวน์สปาร์คกิ้ง ยิ่งเพิ่มความอร่อยครับ

                      สรุปความคุ้มค่านะครับ เป็นห้องอาหารที่มีเมนูค่อนข้างหลากหลายมากๆ มีให้เลือกทานหลายแนว มีเครื่องดื่มให้เลือกทานเยอะ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย เรียกว่าทุกสัญชาติกันเลยทีเดียว สำหรับราคานี้มีปูอลาสก้าให้ทานด้วย เรียกว่าคุ้มค่ามากๆ ตักอาหารในไลน์เองก็มีข้อดีตรงที่เราสามารถเลือกตักปริมาณนิดหน่อย เพื่อชิมก่อนได้ ไม่ต้องสั่งมาเป็นจานใหญ่ๆ แล้วเกิดไม่ชอบ จะลำบากใจครับ

                         แต่สำหรับเมนูปูอลาสก้าและฟัวกราส์ ที่ต้องทะยอยสั่ง ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ ด้วยบางทีก็รู้สึกขาดตอน จานนึงมาปริมาณไม่ค่อยมาก แต่ก็ดีที่มีให้เรื่อยๆ ไม่มีคำว่าหมด เพราะถ้ามีวางไว้ที่ไลน์อาจจะมีการตักโกยไปจนหมดได้เหมือนกันครับ สำหรับแฟนบอกว่า ไม่ค่อยนิยมห้องอาหารนานาชาติ ด้วยที่อาหารหลากหลาย แต่ไปไม่สุด เรียกว่ารสชาติกลางๆแทบทุกเมนู ไม่เหมือนเราเลือกไปทานห้องอาหารเฉพาะที่รสชาติอาหารจะอร่อยกว่ามาก และด้วยการมีอาหารให้เลือกเยอะมาก จนบางทีเราก็เลือกไม่ถูก ว่าจะทานอะไรดี จนทำให้ไม่รู้จะตักอะไรมาทาน อิ่มไปโดยปริยายครับ แต่สำหรับเรากลับรู้สึกชอบนะ ด้วยได้ทานหลากหลาย รู้สึกว่านี่สิ คือบุฟเฟ่ตื การได้ทานอาหารหลายๆอย่าง โดยอย่างละนิดที่เราอยากทานเท่านั้นพอ มีโอกาสหน้าจะกลับมาซ้ำแน่นอนครับ และขอแนะนำสำหรับหลายๆท่านที่อยากไปทานกันนะครับ อย่าลืมโทรจองโต๊ะล่วงหน้าก่อน เพราะถ้า Walk in มาทาน อาจจะไม่มีโต๊ะว่างนะครับ

              

บทความที่ได้รับความนิยม