วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2562

ทริปมินิเวียงจันทน์

                 มาถึงจังหวัดอุดรธานีทั้งที เราสองคนก็ตั้งใจที่จะเดินทางต่อไปยังที่จังหวัดหนองคาย เพื่อข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว มุ่งหน้าไปยังเวียงจันทน์ ระยะทาง 50 กว่ากิโลเมตรจากตัวเมืองอุดรธานีไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย ใช้เวลาไม่นานครับ ประมาณเกือบ 40 นาที เราก็มาถึงเชิงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ตรงจุดนี้สามารถเลือกใช้บริการได้หลายรูปแบบครับ ซึ่งจากอุดรธานีก็มีบริการซื้อตั๋วรถทัวร์พร้อมทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวข้ามไปยังลาว หรือจะซื้อแบบเหมารถตู้เที่ยวในลาวเลยจากทางฝั่งไทยก็มีให้เลือกทั้งจากอุดรธานีและหนองคาย 

                    ในครั้งนี้เราสองคนเตรียมพาสปอร์ตมาเรียบร้อยครับ ก่อนอื่นก็ต้องหาที่จอดรถครับ ตรงนี้บางท่านอาจจะเลือกที่จะจอดตามริมถนน ก่อนถึงทางเดินไปยังด่าน 




           
                    เพื่อความปลอดภัยของรถที่เราขับมา จึงตัดสินใจที่จะจอดรถที่ให้บริการพื้นที่จอดครับ อัตราค่าบริการวันละ 50 บาท สามารถจอดทิ้งค้างคืนได้ และรับบัตรจอดรถไว้ก่อน เผื่อเปลี่ยนใจอยู่ค้างคืนที่ฝั่งลาว ก็มาจ่ายค่าบริการทีเดียวตอนนำรถออกครับ ภายในลานจอดรถกานตนาทัวร์ มีหลังคาเป็นแสลนไว้สำหรับบังแดดให้ครับ 




                    หลังจากจอดรถ หยิบสัมภาระที่จำเป็นเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าเดินไปยังทางเข้าด่านผ่านแดนครับ ตรงนี้จะมีคนเดินเข้ามาสอบถามเราเป็นระยะครับ ว่ามีทัวร์มารอรับที่ฝั่งลาวหรือยัง สนใจจะไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า เรียกว่ามีคนขับรถจากฝั่งลาวมาให้เราเลือกต่อรองราคาที่ฝั่งไทยเลยครับ หลังจากพูดคุยกันสักพัก เราสองคนก็ตัดสินใจใช้บริการรถตู้ Hyundai นำเที่ยวตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึง 5 โมงเย็น นำเราสองคนกลับมาส่่งที่ด่านฝั่งลาว กับ "ทอง" หนุ่มชาวลาวในราคา 1,000 บาทครับ โดยทองก็ช่วยแนะนำเราสองคนในการไปทำเรื่องผ่านแดน และทำการผ่านแดนไปพร้อมๆกับเราสองคน

                     




               หลังจากทำเรื่องผ่านแดน จากนั้นเราก็ต้องซื้อบัตรรถทัวร์ สำหรับข้ามไปยังฝั่งลาวครับ ค่าบริการคนละ 20 บาท ไม่นานรถทัวร์ก็มาจอดให้เราทำการเดินขึ้นไปครับ




                    ใช้เวลาอยู่บนรถทัวร์ประมาณ 4-5 นาที ก็พาเราข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว มายังฝั่งลาวเป็นที่เรียบร้อยครับ






                       จากนั้นก็เป็นการชำระค่าธรรมเนียม ซึ่งต้องขออภัยด้วยครับที่จำราคาไม่ได้ ทองก็เดินนำเราไปยัง รถตู้ ที่จอดไว้สำหรับบริการเราครับ





                     ระหว่างเดินทางไปยังเวียงจันทน์ เราก็พูดคุยถึงสถานที่ทีต้องการจะไปในเวียงจันทน์ ก็จะมี พระธาตุหลวง (Pha That Luang) ประตูชัย (Patuxai) วัดสีสะเกด (Wat Si Saket) หอพระแก้ว (Haw Phra Kaew) สำหรับร้านอาหารที่อยากไป ก็จะมีร้านเฝอแซ่บ (Pho Zap) ร้านกาแฟ Joma Coffee และอยากซื้อขนมปังฝรั่งเศสยัดไส้ (ข้าวจี่ปาเต๊ะ) ซึ่งเราก็อ่านรีวิวมาจากบางท่าน กล่าวว่า เค้กในร้าน Joma coffee รสชาติก็ปกติ เลยถามกับทอง ว่ามีแนะนำร้านอื่นไหม ที่ดังขึ้นชื่อในเวียงจันทน์ แบบที่คนลาวชอบไปทานกัน ทองตอบว่า ร้าน Amazon และ Black canyon เรียกว่าเราสองคนเดินทางมาถึงลาว แล้วจะไปทาน 2 ร้านนี้ก็คงไม่ใช่ล่ะ จึงตัดสินใจไปที่ร้าน Joma Coffee แบบเดิม

                   การเดินทางจากด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังเวียงจันทน์ ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร แต่ก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงครับ ด้วยถนนในลาวมีการจำกัดความเร็วที่ 60 กม./ชม. ทองก็สอบถามเราว่า มีความสนใจที่อยากจะซื้อของฝากอะไรไหม พวกหยก ผ้าไหม โสม หรือบัวหิมะ ซึ่งเราสองคนก็ตอบปฏิเสธแบบไม่ต้องใช้เวลาคิด ทองกล่าวว่า ช่วยแวะไปสักที่ได้ไหม เพราะทองได้ค่าจ้างจากการที่พานักท่องเที่ยวไปยังสถานที่จำหน่ายต่างๆ ใช้เวลาในนั้นไม่นาน เพียง 5 นาที ไม่ซื้อก็ไม่เป็นอะไร

                 หลังจากปรึกษากับแฟน เหมือนเราซื้อทัวร์ที่ได้รับการสนับสนุนของประเทศ แล้วต้องแวะไปสถานที่จำหน่ายสินค้าพื้นเมือง ทั้งๆที่ก็เหมารถมาเองล่ะ แต่ก็ถือว่าช่วยเหลือทองล่ะกัน จึงตกลงที่จะแวะไปยังสถานที่จำหน่ายบัวหิมะ








                        และแล้วเราก็มาถึงศูนย์วิจัยแพทย์แผนโบราณจีน ที่ตั้งอยู่ในเมืองเวียงจันทน์ ทันทีที่รถจอด พนักงานในศูนย์ก็เตรียมการต้อนรับ และเรียกเรากับแฟน ซึ่งมากัน 2 คน ว่าคณะนักท่องเที่ยว และเชิญเราสองคน ไปยังห้อง VIP 5 เรียกว่า เป็นห้องที่มีเก้าอี้รายล้อมอยู่ติดกำแพง จากนั้นไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาบรรยาย เกี่ยวกับสถานที่ ผลิตภัณฑ์ของทางสถาบัน และแนะนำว่าที่สถาบัน มีแพทย์แผนโบราณจีน(หมอแมะ) ให้บริการตรวจสุขภาพฟรีด้วย






                     หลังจากฟังบรรยายประมาณ 5 นาที ทางเจ้าหน้าที่คงรับรู้ได้ว่า เราสองคนไม่มีความสนใจที่จะซื้อสินค้าแน่นอน จึงปล่อยให้เราสองคนออกมาจากห้อง VIP ส่วนทอง ก็กำลังนั่งทานซุปอะไรสักอย่างอยู่อีกห้อง เมื่อเห็นพวกเราแล้ว จึงรีบลุกเดินนำไปยังรถตู้ เพื่อทำการเดินทางต่อครับ

                      ในที่สุดเราสองคนก็มาถึงพระธาตุหลวงกันครับ ด้านหน้าจะเป็นลานจอดรถ ซึ่งทองก็ส่งเราสองคนตรงด้านหน้า จากนั้นนำรถไปจอดบริเวณร้านค้าของฝากครับ




                             พระธาตุหลวงจะมีค่าเข้าชม สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คนละ 10,000 กีบ หรือ จ่ายด้วยเงินไทยก็จะประมาณ 40 บาท ครับ ซึ่งตรงนี้ก่อนที่เราจะข้ามมายังลาว ตรงด่านก็มีที่ให้แลกเงินกีบนะครับ ซึ่งทองบอกเราสองคนว่าไม่ต้องแลกก็ได้ เพราะทุกที่ที่จะไป สามารถใช้เงินไทยได้หมด แต่เมื่อมาคำนวนแล้ว ค่าใช้จ่ายบางอย่างก็ขาดทุนนิดหน่อยนะครับ เวลาจ่ายเป็นเงินไทย ส่วนมากจะปัดขึ้น และคิดเรทอัตราแลกเปลี่ยนตามคนขายเลย

                            




                     หลังจากซื้อบัตรเข้าชมแล้ว เราก็มาทำบุญดอกไม้ธูปเทียนกันต่อครับ




                        ตรงนี้เจ้าหน้าที่แนะนำว่า ถ้าเรามีเวลาก็เดินเวียนประทักษิณารอบองค์พระธาตุสักรอบก็ดี หรือถ้ามีเวลามากหน่อย 3 รอบเลยยิ่งดี เมื่อแนะนำแล้ว เราก็ไม่พลาดครับ ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว แต่เมื่อเดินได้ครบ 1 รอบ ด้วยแดดที่ร้อนระอุค่อนข้างมาก ทำให้เราสองคนเปลี่ยนใจเดินกันแค่รอบเดียวครับ






                            หลังจากปักธูป วางเทียนแล้ว เราก็นำพวงมาลัย ขึ้นไปสักการะด้านบนครับ ตรงนี้จะมีพานไว้ให้วางดอกไม้ และมีตู้ให้หยอดเงินทำบุญครับ








                       พระธาตุหลวงมีความสวยงามมากจริงๆครับ ถ้าแสงแดดไม่ร้อนขนาดนี้ เราสองคนก็ตั้งใจที่จะอยู่ชมความงาม รวมถึงถ่ายรูปเป็นที่ระลึกมากกว่านี้

                           


                     ด้วยอากาศที่ค่อนข้างร้อน ประกอบกับแอร์บนรถตู้ไม่ค่อยเย็น ออกแนวมีแต่ลม ทำให้เราสองคนตัดสินใจที่จะไปร้านกาแฟ Joma coffee  เพื่อหาเครื่องดื่มอะไรเย็นๆ และพักสภาพร่างกายสักครู่ (กดที่ Joma coffee สำหรับดูรีวิวร้านกาแฟ Joma coffee ได้เลยครับ)
         

                        หลังจากเพิ่มพลังจากเครื่องดื่มเย็นๆ และขนมเค้กแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยัง ประตูชัยกันต่อครับ ตรงนี้จะมีน้ำพุ อยู่ตรงกลาง ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก รวมถึงช่างภาพที่มีมาให้บริการถ่ายภาพด่วนไว้บริการด้วยครับ







                     
                  ใช้เวลาถ่าภาพกันประมาณ 10 นาที เราสองคนก็ตัดสินใจขึ้นรถ เพื่อเดินทางไปจุดหมายต่อไปครับ แต่ด้วยเป็นเวลาประมาณเที่ยงกว่าๆ ทองแนะนำว่า เราควรที่จะไปทานอาหารกันก่อนดีกว่า จึงมุ่งหน้าไปที่ ร้าน เฝอแซ่บ เพื่อทานอาหารกลางวันกันครับ (กดที่ร้าน เฝอแซ่บ เพื่อไปชมรีวิวกันได้เลยครับ)

                     หลังจากเติมพลังด้วยอาหารเที่ยงอร่อยๆแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปที่หอพระแก้วครับ สถานที่แห่งนี้เสียค่าเข้าชมเช่นเดียวกับพระธาตุหลวงนะครับ ในเรทราคาเท่ากัน และภายในหอพระแก้วห้ามถ่ายภาพ ซึ่งด้านใน มีพระพุทธรูป และเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมาก 






                      หลังจากทำบุญดอกไม้ ธูปเทียน เพื่อสักการะพระพุทธรูปด้านใน และหยอดเงินใส่ตู้รับบริจาคเป็นที่เรียบร้อย เราสองคนก็ออกจากหอพระแก้ว กลับขึ้นรถตู้กันต่อครับ ใช้เวลาไม่นาน เราก็มาถึง วัดสีเมือง












                   ภายในโบสถ์มีพระสงฆ์นั่งรับสังฆทาน และมีทำพิธีสวดมนต์อะไรสักอย่าง อันนี้เราเองก็ไม่แน่ใจนะครับ แต่เหมือนคล้ายสวดสะเดาะเคราะห์ เพราะผู้ที่ต้องการทำพิธี จะนำพานที่วางดอกไม้และเทียน พร้อมขันน้ำ ให้พระทำการสวดทำน้้ำมนต์ โดยนำสายสิญจน์ คอบตัวผู้ทำพิธีไว้ ด้วยเราสองคนนำหมวกไหมพรม กรรไกรตัดเล็บ ใบมีดโกน และยาหม่องมาถวาย พระท่านเมตตาผูกสายสิญจน์พร้อมให้พร ซึ่งก่อนออกมาก็เห็นป้ายผ้าป่าสามัคคี จึงไม่พลาดที่จะร่วมทำบุญครับ

                      หลังจากเดินทางเกือบครบทุกที่ ก็เป็นเวลาประมาณ บ่าย 2 โมงครับ เหลือเพียงภารกิจซื้อข้าวจี่ปาเต๊ะ ซึ่งทองก็สอบถามเราสองคน ว่าอยากไปที่ไหนอีกหรือเปล่า ด้วยอากาศที่ค่อนข้างร้อนมากครับ เราสองคนจึงตัดสินใจไม่ไปไหนแล้ว ซื้อแค่ข้าวจี่แล้วกลับที่ด่าน เดินตากแอร์ดูของขายที่ duty free และของอื่นๆดีกว่า 

                     ทองขับพาเราสองคน มาที่ ร้านข้าวจี่ ปาเต๊ะ หน้าตาร้านดูสะอาดมากๆครับ (กดที่ร้านข้าวจี่ ปาเต๊ะ เพื่อไปรับชมรีวิวได้เลยครับ) เมื่อได้ข้าวจี่ปาเต๊ะแล้ว แต่ด้วยเราสองคนยังคงอิ่มจากมื้อกลางวัน เลยตั้งใจจะเอาไว้ทานระหว่างทางกลับไปอุดรธานี ใช้เวลาอีกประมาณ 40 นาที เราสองคนก็มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ตรงนี้ทองส่งเราลงตรงหน้าด่าน จากนั้นก็จ่ายค่าบริการเหมารถตู้เที่ยว ซึ่งตรงนี้ถ้าแอร์รถตู้เย็น ก็จะเป็นการนำเที่ยวที่ดีมากๆเลยครับ ทองอัธยาศัยดีมาก เสียอย่างเดียว รถแอร์ไม่เย็นครับ

                     ก่อนจะเดินทางกลับไปยังฝั่งไทย เราก็พาแฟนไปชอปปิ้งซื้อของตรง duty free นิดหน่อย และพาไปเปิดหูเปิดตาที่ ร้านตู้เกมส์ หยอดไปพอหอมปากหอมคอ คนสอนพาไปเล่นอย่างเรากลับเสียเงินที่ตู้ Slot machine จนหมดงบประมาณ โชคดีที่คนเล่นไม่เป็นอย่างแฟนเรา เรียกเงินทุนคืนกลับมาได้หมดจากตู้ Roulette ก็เลยพากันออกมาดีกว่าครับ จากนั้นก็ไปรอคิวที่ตู้ตรวจคนเข้าเมือง ชำระค่าผ่านแดน และซื้อตั๋วรถทัวร์เช่นเดิม สำหรับผ่านแดนกลับมายังไทยครับ

                   


                  เป็นมินิทริปเล็กๆ ที่รู้สึกว่าสนุกดีครับ ถ้าแดดไม่ร้อนแรงเช่นนี้ น่าจะสนุกกว่านี้อีกครับ มีโอกาสหน้าจะมาเวียงจันทน์อีกครั้ง เพราะยังไม่ได้ลิ้มลองเบียร์ลาว เดินตลาดเช้าและลองทานส้มตำลาวเลยครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม