|
Cover |
ในช่วงสิ้นปี ทริปนอนดูดาว ดูหมอกที่เขาค้อ เป็นอีกทริปที่เราสองคนคิดถึง เพราะเคยจัดกันมาแล้วเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้จัดกันอีกเลยตั้งแต่โควิด มาในปีนี้ จึงอยากตามกระแส การนอนในเต็นท์โดม ที่สามารถมองดูดาวได้จากที่นอนเลย และเพียงแค่เราสองคนพูดคุยกันถึงหัวข้อนี้กันบนรถ ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที เฟสบุ๊คก็ไม่รอช้า รายชื่อที่พักแนวนี้ก็แสดงขึ้นมาจำนวนมาก มากันแบบไม่ขาดสาย (โฆษณาได้ไวปานแสง ไม่รู้จะขอบคุณหรือจะกังวล ในความน่ากลัวของการดักฟังจากเฟสบุ๊คก่อนดี)
หลังจากทำการโทรสอบถามที่พักมา 2-3 ที่ เราสองคนก็ได้ตัดสินใจจองพร้อมโอนเงินเต็มจำนวนไปกับที่ The Winter Loft เขาค้อ (3,400 บาท) โดยทำการจองผ่านทางเฟสบุ๊คนั่นเอง โดยที่พักมีห้องพักทั้งหมด 5 ห้อง ในวันที่เราจองยังว่างทุกห้อง ทางที่พักแนะนำห้อง เบอร์5 ซึ่งเป็นห้องที่อยู่ริมสุดด้านใน ก่อนวันเดินทาง ทำการสอบถามอุณหภูมิกับทางที่พักกันก่อน จะได้เตรียมตัวถูก ได้ความว่า ช่วงนี้อากาศกลางวันค่อนข้างร้อน แต่ถ้าเป็นช่วงค่ำๆ ก็มีความเย็นสบายอยู่ และวันเดินทางก็มาถึงครับ
พวกเราสักการะวัดผาซ่อนแก้ว และไปพักผ่อนที่ Pino Latte เสร็จเรียบร้อยในเวลาประมาณบ่าย 3 โมงกว่าๆ จึงตั้งใจว่ามุ่งหน้าเข้าที่พักเลยดีกว่า จะได้มีเวลาถ่ายรูปเล่นกัน และจะได้ไม่ต้องขับลงเขาในช่วงไม่มีแสงอาทิตย์ การเดินทางจาก Pino Latte มายังที่พัก ใช้เวลาประมาณเกือบๆ 35 นาที ความตื่นเต้นแรกที่ได้รับคือ ทางเข้าของที่พักครับ ที่พักจะใช้ทางเข้าขับลงเนินแบบหักศอก อยู่ริมถนน ซึ่งมีป้ายบอกทาง ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็สามารถมองเห็นได้นะครับ เมื่อขับลงมาถึงที่พัก เราก็จะพบกับห้องพัก 5 ห้อง ที่เรียงรายกันอยู่
|
The Winter Loft |
|
Lobby ที่ติดต่อรับกุญแจห้องพัก |
เมื่อมาถึงที่พัก เราก็เข้าใจเลยทีเดียวว่า ทำไมที่พักถึงบอกว่า เราไม่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกได้ เพราะที่พักเราอยู่ต่ำกว่าถนนทางเข้าลงมา ด้านหน้าหันเข้าถนน ทางที่พักแนะนำว่า ไปชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ที่จุดชมวิวไปรษณีย์เขาค้อ แต่เราสองคนคิดกันแล้วว่า ค่อนข้างอันตรายที่จะขับรถออกจากที่นี่ในเวลาที่ไม่มีแสงอาทิตย์ครับ เพราะเส้นทางออกจากที่พักถ้าขับในความมืด ไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไร หลังจากได้รับกุญแจกันแล้ว เราก็เริ่มเดินทางไปยังห้องพักของเรากันครับ (ระหว่างที่เราเริ่มขนสัมภาระ ก็มีรถของลูกค้ากลุ่มนึงเข้ามาครับ และทั้งกลุ่มได้ทำการจองห้องพักอีก 4 ห้องที่เหลือหมด เท่ากับว่า ทั้งที่พักมีกลุ่มที่เหมา 4 ห้อง กับเราสองคน)
|
ทางเดินไปยังห้องพัก |
|
สนามเล็กๆติดกับที่จอดรถ |
|
ถนนทางเข้ามายังที่พัก |
|
ถนนเดินหน้าห้องพัก |
|
ด้านหน้าของที่พัก จะเห็นเส้นทางที่ต้องขับขึ้นไปยังถนน |
ทางที่พักมีให้บริการน้ำแข็งฟรีตลอด และมีถังน้ำแข็งให้เราสามารถตักนำไปทานที่ห้องพักได้เลย และภายในห้องพักก็ยังคงมีรองเท้าแตะแบบฟองน้ำ ไว้ให้ใช้ด้วยครับ แต่ไม่แนะนำให้ใส่เดินออกมานอกบริเวณห้องพักสักเท่าไร เพราะรองเท้าไม่สามารถทนกับหินที่โรยตรงทางเดินหน้าห้องพักได้มากนะครับ แทงทะลุถึงเนื้อเท้ากันเลยทีเดียว เหมือนเหมาะให้ใช้เวลาไปห้องน้ำอย่างเดียวครับ
|
ห้องพักของเราคืนนี้ |
|
ห้องน้ำ |
|
ด้านในเต็นท์โดม |
|
ฟูกที่นอนอยู่กลางโดม |
|
โต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็ก |
|
ด้านหน้าโดมสามารถเปิดดูได้ |
ภายในเต็นท์โดม ห้องพักมีความสะอาด มีให้บริการเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น พร้อมพัดลมปรับอากาศด้านบนที่นอน ฟูกที่นอนวางอยู่ตรงกลางโดม มีโต๊ะญี่ปุ่นให้นั่งทานน้ำ พร้อมๆกับรับชมบรรยากาศธรรมาชาติด้านนอกได้ และด้านหน้าของโดม จะเป็นโต๊ะพร้อมเก้าอี้ สำหรับไว้ทานอาหาร มีหลังคากันน้ำค้าง กันแดด พร้อมถังขยะไว้ด้านหน้า
ทางที่พักมีให้บริการอาหารเย็น สามารถสั่งล่วงหน้าได้จนถึงเวลา 18.30 น. นะครับ เพราะทางที่พักต้องออกไปซื้อด้านนอกมาให้เราครับ โดยเราสองคนได้สั่งเป็นเซ็ทหมูกะทะชุดใหญ่ กับส้มตำปลาร้า 1 จาน โดยเราแจ้งเวลาเริ่มทานไว้ที่ประมาณหกโมงเย็น พอถึงเวลา น้องพนักงานก็นำเตาถ่าน พร้อมชุดหมูกะทะ มาส่ง และช่วยจุดเตาถ่านให้ก่อนไปครับ (ชำระค่าอาหาร ณ เวลารับอาหารเลยนะครับ)
|
ส้มตำปลาร้า |
|
ชุดหมูกะทะ ชุดใหญ่ |
|
บิลค่าอาหาร |
|
เริ่มลงมือย่างกันครับ |
|
บรรยากาศยามค่ำคืน |
|
ห้องของเราก็แยกออกมาเล็กน้อย |
|
ด้านนอกมองเข้าไปในโดมเห็นชัดเจน |
สำหรับความรู้สึกส่วนตัวของการเข้าพักของเราสองคนในครั้งนี้นะครับ โดยส่วนตัว ไม่ค่อยนิยมห้องพักที่ไม่มีห้องน้ำในตัว เพราะด้วยอายุ และอะไรหลายๆอย่าง การมีห้องน้ำในห้องพัก ค่อนข้างจะสะดวกในการแต่งตัวหลังจากอาบน้ำเสร็จ ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนออกมา ไหนจะการลุกไปเข้าห้องน้ำกลางดึก แต่ในครั้งนี้เป็นข้อยกเว้นเลย คิดว่าเป็นการเปิดประสพการณ์ สำหรับที่นี่ห้องน้ำสะอาดครับ เพียงแต่ว่าเราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ส่งผลให้ภายในห้องน้ำ จะมีน้องแมลงเข้ามาเยี่ยมเยียนกันเป็นระยะๆ ด้านหน้ามีหลอดไฟที่อ่างล้างหน้า ก็จะมีน้องแมลงมาเล่นแสงไฟ จะเดินเข้าออกประตูห้องน้ำก็ต้องระวังน้องบินใส่หน้า ใส่หัวครับ
เช่นเดียวกับการเข้าออกห้องพัก เราควรที่จะต้องรีบเปิดแล้วปิดประตูด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่น้องยุงตัวใหญ่ๆ จะหลุดเข้าไปนอนกับเรา ยุงจะมีค่อนข้างมากในช่วงเย็นจนถึงประมาณสองทุ่มก็เริ่มลดปริมาณลงครับ (ในช่วงที่เราทานอาหารกันอยู่ด้านนอก ทางที่พัก นำยากันยุงมาจุดให้ ก็เลยไม่แน่ใจว่า ที่ลดลงเป็นเพราะยากันยุง หรือว่าเป็นช่วงเวลาค่ำแล้ว ยุงไปพักผ่อนกันหมด)
อาหารเย็นของเราในค่ำคืนนี้ คุณภาพดีนะครับ อาหารมีความสด น้ำจิ้มก็อร่อย ค่อยๆย่างทานกันสองคนไปเรื่อยๆ มีสายลมพัดมาบ้างเป็นระยะ อากาศดีครับ ให้ความรู้สึกว่า เราได้พักผ่อนร่างกายและจิตใจ หลบหนีฝุ่นละอองจากกรุงเทพฯได้เป็นอย่างดี
หลังทานอาหารกันเป็นที่เรียบร้อย เราสองคนก็กลับเข้ามานั่งในโดม หวังว่าจะชมดาวกับดื่มด่ำบรรยากาศด้านนอกผ่านทางห้องพัก จะเห็นว่า ถ้าภายในโดมเปิดแสงไฟไว้ ด้านนอกจะมองเข้าไปได้อย่างชัดเจน ถ้าเราอยู่ในโดม จะมองไม่เห็นอะไรด้านนอกเลยครับ ต้องปิดไฟในโดมครับ แต่ก็จะมีละอองน้ำที่เกาะอยู่ด้านนอกโดม สรุปก็คือ ไม่สามารถชมอะไรได้ครับ
สำหรับสถานที่พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ เต็นท์โดมไม่ได้มีการเก็บเสียงมากแต่อย่างใด จึงไม่มีให้บริการทีวีนะครับ ถ้าไม่นับเปิดเพลงกับเล่นมือถือ ก็จะเป็นการดี ที่เราจะได้ใช้ชีวิตแบบพูดคุยกัน อยู่ร่วมกันแบบสโลว์ไลฟ์จริงๆครับ ก่อนเข้าพักทางที่พักมีแจ้งแล้วว่า ห้ามส่งเสียงดังหลัง 22.00 น.
ในเวลากลางคืนหลังสี่ทุ่ม อาจเป็นเพราะเราอยู่ใกล้ถนน ทำให้เราสองคนได้ยินเสียงรถวิ่งกันเป็นระยะ รถยนต์บ้าง มอเตอร์ไซด์บ้าง แทบจะยันเช้าครับ ทางที่พักมีให้บริการพัดลมปรับอากาศวางไว้ที่หัวฟูกนอน ช่วยได้มากเลยครับ ระหว่างที่เรานอน จะมีแมลงตัวเล็กๆ คอยมาตอมหน้า จึงควรที่จะเปิดเพื่อปัดแมลงออกไปครับ
ทางที่พักมีให้บริการอาหารเช้า ตั้งแต่เวลา 7.30น. โดยรวมในราคาที่พักเรียบร้อย แต่ด้วยเราสองคนตื่นแต่เช้า และไม่รู้จะทำอะไรอีก จึงเก็บข้าวของเสร็จกันตั้งแต่ 6.20 น. (พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว มองถนนทางออกได้แบบชัดเจน) จึงตัดสินใจทิ้งอาหารเช้าแล้วออกจากที่พักไปชมทะเลหมอกกันที่จุดชมวิวเขาค้อกันครับ
สรุปห้องพักมีความสะอาด ห้องน้ำก็สะอาดครับ น้องพนักงานก็น่ารักบริการดี อาหารเย็นอร่อย ที่พักเหมาะสำหรับคนที่ต้องการมาพักผ่อนแบบจริงจัง ไม่เน้นกิจกรรมอะไรในที่พัก มุมถ่ายรูปเล่นอาจจะมีไม่เยอะมาก และเหมาะสำหรับคนที่ชอบที่นอนสไตล์มูจิ (ฟูกบนพื้น แต่สำหรับเราสองคน รู้สึกว่า เข่าเริ่มไม่ไหวครับ จะลุกขึ้นแต่ละที นิยมแบบมีเตียงมากกว่า)